เงินที่เราถือในทุกวันนี้เป็นเงินของเราจริง ๆ หรือเปล่าทำไมเงินของเราถึงถูกผลิตโดยรัฐบาล รัฐบาลจริงๆแล้วเป็นใคร ทำไมเราจึงเชื่อถือรัฐบาล โลกของเราเคยชินกับระบบตัวกลางที่มีคนดูแล แต่อย่างไรก็ตามเราก็จะได้เห็นความล้มเหลวของตัวกลางในแต่ละยุคสมัย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือหลายครั้งที่การล้มเหลวของตัวกลางเหล่านี้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังที่เป็นผู้มีอำนาจมักจะไม่ได้รับผิดชอบหรือรับบทลงโทษอย่างที่ควรจะเป็น
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ในบทที่แล้วเราจะได้กล่าวถึงกลุ่ม Cypherpunk ที่เป็นกลุ่มนักเข้ารหัสที่มีความคิดแนวเสรีนิยมที่ไม่ต้องการจะให้หน่วยงานรัฐบาลหรือองกรณ์ใดเข้ามาควบคุมรวมถึงการเงิน แต่อย่างไรก็ตามอุดมการณ์ของพวกเขาก็เป็นเพียงกองไฟกองหนึ่งที่สว่างไสวแต่ไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็น แต่สิ่งที่เป็นเหมือนน้ำมันที่กระตุ้นให้แนวคิดของนั้นลามไปทุกหนทุกแห่ง คือความเดือดร้อนของประชาชนจากเหตุการณ์วิกฤติการเงินในปี 2008 ที่เกิดการล้มตัวลงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ผู้คนรู้จักกันในนามวิกฤตซัพไพร์มหรือวิกฤติการแฮมเบอร์เกอร์ในอเมริกา
แล้วทีนี้วิกฤตซัพไพรม์คืออะไรหละวิกฤตซัพไพรม์เกิดจากสินเชื่อที่มีชื่อว่าสินเชื่อซัพไพรม์ซึ่งเป็นสินเชื่อที่จะถูกปล่อยกู้ให้กับผู้ก็ที่มีความน่าเชื่อถือน้อยและนั้นทำให้สินเชื่อซัพไพรม์เป็นสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยมากกว่าสินเชื่อทั่วไป เพราะต้องชดเชยความเสี่ยงจากความน่าเชื่อถือของผู้กู้ และมันกลายเป็นแหล่งสินเชื่อชั้นดีให้กับคนต่างด้าวที่อยากจะมีบ้านพักอาศัย แล้วทำไมมันถึงเกิดวิกฤตนี้ได้หละ วิกฤตินี้เกิดจากความโลภของนายธนาคารที่คิดจะขายตราสารหนี้ให้ได้เยอะที่สุด โดยนายธนาคารเหล่านี้จะได้ค่าธรรมเนียมหรือค่านายหน้าในการขายตราสารหนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือมีธนาคารหลายแห่งที่พยายามขายตราสารให้ได้มากที่สุดจึงได้ทำการปล่อยกู้สินเชื่อซัพไพรม์ง่ายขึ้นเรื่อยๆ และนั้นนำไปสู่การผิดนัดชำระหนี้ของผู้กู้จนนำไปสู่การหนีหนี้ปริมาณมหาศาล
เมื่อมีผู้กู้จำนวนมากที่ไม่สามารถชำระได้สิ่งที่ธนาคารทำคือนำตราสารหนี้ที่ผู้จ่ายดอกเบี้ยปกติและตราสารหนี้ที่มีผู้กู้หนีหนี้มารวมกันเพื่อทำให้ตราสารหนี้ที่ดีช่วยเฉลี่ยตราสารหนี้ที่ไม่ดีแล้วขายให้แก่นักลงทุนและรับค่าธรรมเนียม และยังมีการยัดเงินใต้โต๊ะแก่บริษัทที่ให้เรตติ้งกองทุนเพื่อให้กองทุนดูน่าเชื่อถือมันทำให้เกิดวงจรอุบาศขึ้นดังนี้
- ธนาคารปล่อยเงินกู้อสังหาให้แก่คนต่างด้าวโดยมีอัตราดอกเบี้ยที่สูง
- ธนาคารนำสัญญาเงินกู้นั้นปล่อยขายให้กับนักลงทุนและประชาชนและเก็บค่าธรรมเนียม
- ผู้กู้ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้จึงทำการหนีหนี้
- ธนาคารนำสัญญาเงินกู้ที่มีหนี้เสียไปรวมกับสัญญาเงินกู้รูปแบบอื่นๆเช่นรถยนต์และบัตรเครดิต เพื่อเฉลี่ยหนี้ที่เสียและขายแก่ประชาชน
- ธนาคารยัดเงินให้แก่บริษัทจัดเรตติ้งกองทุนเพื่อให้ได้เรตติ้งดีอยู่เสมอ
ผู้คนมากมายที่รับซื้อกองทุนนี้เพราะคิดว่าอสังหาริมทรัพย์เป็นสิ่งที่มั่นคงเสมอ แต่วงจรที่เกิดขึ้นนำไปสู่เหตุการณ์ฟองสบู่แตกในปี 2008 ส่งผลให้สถานบันการเงินหลายแห่งล่มและขยายตัวไปทั่วโลก มีคนตกงานในสาขาการเงินจำนวนมาก ทำให้เกิดการผลิตเงินเพิ่มเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศก่อให้เกิดการผลักภาระภาษีสู่ประชาชน หรือที่เรียกว่า QE
นโยบายการผลิตเงินเพิ่มที่เรียกว่า QE ในสหรัฐอเมริกานั้นส่งผลให้ค่าเงินของอเมริกาอ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ตามอเมริกาเป็นประเทศที่น่าเชื่อถือมากและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐก็ถูกใช้เป็นเงินสำรองคงคลังในหลายประเทศ คนอเมริกันรวยการพิมพ์เงินอย่างเดียว ทั้งๆที่ตัวเองก็ใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายขาดดุลการค้ามาตลอด มีสถานะเป็นลูกหนี้รายใหญ่ของประเทศต่างๆทั่วโลก แถมยังสามารถจ่ายดอกเบี้ยน้อยลงไปเรื่อยๆอีกต่างหากเพราะอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ออกประมูลใหม่ก็ต่ำลงไปเรื่อยๆ แค่พิมพ์เงินไปเรื่อยๆ เป็นหนี้ใครก็พิมพ์เงินมาจ่ายคืนหนี้เก่าแล้วก็กู้ต่อ เพดานหนี้สาธารณะก็ขยับขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีคนสนใจจะวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของรัฐบาลสหรัฐ
แนวคิดของ Cypherpunk ที่พูดถึงความเป็นอิสระจากตัวกลางต่างๆก็ถูกกลับมาพูดถึงอีกครั้ง และภายในไม่กี่อาทิตย์หลังจากการล้มละลายจาก Lehman ได้มี White paper ของ Bitcoin ถูกโพสลงใน metzdowd.com โดยนาย Satoshi Nakamoto ได้กล่าวไว้ว่า
“ผมกำลังสร้างระบบเงินสดอิเล็คทรอนิคส์ที่ไม่มีตัวกลางใดๆ”
เป็นการประชดประชักความล้มเหลวที่เกิดขึ้นกับระบบตัวกลางที่ผลิตเงินออกมาตามใจชอบนั้นเอง