ก็เหมือนยุคเริ่มต้นของอินเตอร์เน็ต บล็อกเชน และสัญญาอัจฉริยะ ทุกอย่างล้วนมีปัญหาในตอนเริ่มต้น
ตัวอย่างเช่น บล็อกเชน ไม่มีความสามารถในการรักษาความปลอดภัยของการแลกเปลี่ยนข้อมูล จากโลกภายนอก
หรือเรียกอีกอย่างว่า มีปัญหาในการเชื่อมต่อ
ในทุกวันนี้เครือข่ายบิทคอยด์ ยังไม่สามารถดึงข้อมูลจากฐานข้อมูลโดยตรง ตัวอย่างเช่น ไม่สามารถสื่อสารกับ the New York Stock Exchange (NYSE), the Visa retail payment system, หรือ the SWIFT banking network เป็นต้น
ถ้าคุณต้องการเข้าถึงข้อมูลจากบิทคอยด์ คุณต้องการบุคคลที่3 แต่บุคคลที่3อาจจะไม่ได้ให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับคุณ ซึ่งนําไปสู่ควาาเข้าใจผิดต่างๆ ซึ่งทําให้เสียจุดประสงค์ของบล็อก เชน บิทคอยน์
ย้อนกลับไปในยุค 1980 จนถึง 1990 ตอนต้น อินเตอร์เน็ตก็มีปัญหาแบบเดียวกัน จากระทั่ง IBM และบริษัทอื่นๆ ช่วยกันแก้ปัญหา ด้วยการสร้างซอร์ฟแวร์ ชื่อว่า Middleware
Middleware: The Plumbing of the Internet
เช่นเดียวกับสมัยโรมันที่มีการเชื่อมต่อแหล่งนํ้ากับเมืองต่างๆ Middleware ก็มีหน้าที่เชื่อม โยงแกล่งข้อมูลต่างๆเช่นกัน ดังนั้นผู้คนในวงการเทคโนโลยีถึงเรียกมันว่าระบบท่อนํ้าของอินเตอร์เน็ต ทุกวันนี้บล็อกเชน ยังไม่มี Middleware แต่ถ้าสามารถแก้ปัญหานี้ได้ บล็อกเชนก็สามารถรุ่งเรืองเหมือนอินเตอร์เน็ตเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น คุณเป็นเจ้าของร้าน และสหรัฐอเมริกาต้องการสั่งซื้อเสื้อผ้าจากประเทศจีน ระบบก็สามารถประเมินความสามารถในการจ่ายของผู้ซื้อ และลดระยะเวลาการทำเอกสารเพื่อการค้าขาย จากที่ต้องทำเป็นวัน เหลือเพียงหลักนาทีเท่านั้น
ในลำดับถัดไป ถ้าเราใช้บล็อกเชนกับปัญญาประดิษฐ์หล่ะ แล้วถ้าเรานำบล็อกเชนไปประยุกต์ใช้กับวงการประกันภัย วงการประกันภัยจะต้องให้ความสนใจอย่างแน่นอน เพราะสามารถติดตาม พยากรณ์อากาศ และติดตามข่าวสายการบิน บริษัทขนส่ง และสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสัญญาประกันได้ในทันที (Real-Time) เป็นต้น
และบล็อกเชนก็สามารถดูเบื้องหลังการร่วมมือกันในการเทรดระหว่างแพลทฟอร์ม ซึ่งถ้าเรามีสิ่งนี้ วิกฤตทางการเงินในปี 2008 คงไม่เกิดขึ้น แต่คุณจะสามารถเชื่อข้อมูลจากบุคคลที่3ได้อย่างไร? คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นจริงๆ จะเป็นไปตามเวลาและสถานที่ที่คาดการณ์ไว้ คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคนที่คุณติดต่อด้วยเป็นอย่างที่เค้าบอกรึเปล่า
คำตอบคือ . . . คุณไม่สามารถรู้ได้ โดยปราศจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ
Enter the Oracles
ในโลกบล็อก เราเรียกแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือนั้นว่า Oracle ซึ่งเป็นตัวการในการหาและ ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล และส่งให้ Bitcoin Smartcontract ตัวอย่างเช่น เราให้ราคาของข้อมูลจาก Oracle เหมือนข้อมูลจาก เหมือนข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่งเป็นทีน่าเชื่อในสากล
เราค้นพบว่ามีโปรเจครูปแบบนี้บนบล็อกเชนของ Ethereum โดยโปรเจคนี้เป็นการโอนถ่ายการเงินระดับบนบล็อกเชนโลกที่มีขนาดเล็ก โดยธุรกรรมนึงมีมูลค่ามากกว่า 5หมื่นดอลลาร์สหรัฐต่อวัน และมีผู้เข้าร่วมกว่า 12,000 คน
หากเปรียบเทียบง่ายๆ ระบบทำงานเหมือนท่อน้ำระบบปิด ส่งตรงข้อมูลจากบล็อกเชน สู่ Oracle โดยข้อมูลต้องมีความบริสุทธิ์และปราศจากการปนเปื้อนของข้อมูลเท็จ และใน3-5ปีข้างหน้า มีความเป็นไปได้ ที่ความต้องการเหรียญจะเพิ่มเป็น 3,200% หรือราว 32เท่า ซึ่งทำให้มูลค่าของเงินลงทุน $500 อาจเพิ่มเป็น $16,000 ได้
The Most Widely Used “Link to the Outside World
The name of the most credible player we’ve found in the space is Chainlink (LINK)
ในขณะที่ Chainlink(LINK) เป็นผู้เล่นที่น่าเชื่อถือที่สุด โดยปี2014 Sergey Nazarov และ Steve Ellis ได้เริ่ม Smart Contract ในช่วงนั้น Ethereum ยังไม่ถูกสร้างขึ้น และ Smart Contract ก็ยังไม่เป็นที่นิยม Sergey ถูกรู้จักในฐานะหนึ่งในผู้ริเริ่มแนวคิด Smart Contract เช่นเดียวกับ Vitalik Buterin แห่ง Ethereum(ETH) และ Sergey ก็เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง Chainlink (LINK)
Sergey มีพื้นหลังในอุตสาหกรรมการเงิน เพราะเคยทำงานในกองทุน FirstMar Capital และ QED Investors นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ในการสร้างแอพพลิเคชั่นที่กระจายอำนาจ ซึ่งรวมถึง CryptaMail (บริการส่งข้อความบนบล็อกเชนเจ้าแรก) และ Secure Asset Exchange (Inteface การกระจายอำนาจที่ใช้กันอย่างแพร่หลายครั้งแรก) ในเดือนกันยายนปี 2017 Chainlink ได้เสนอขายเหรียญครั้งแรกหรือ Initail Coin Offering ที่เรารู้จักกันในชื่อย่อ ICO ซึ่งในเวลานั้นเป็นที่นิยมเพราะทำงานให้กับนักลงทุนจำนวนมาก โดย Chainlink ได้ขอระดมทุนผ่าน บล็อกเชนของ Ethereum โดยเป็นการสร้างเหรียญ ERC20 บนบล็อกเชนของ Ethereum ก่อนจะส่งให้กับผู้ระดมทุนทุกคนตามประมาณการระดมทุน โดยยอดการระดมทุนรวมอยู่ที่ 32ล้านดอลลาร์สหรัฐ หลังระดมทุนสำเร็จ ทางทีมงาน Chainlink ก็ได้เพิ่มสมาชิกทีมเป็น12คน
สิ่งที่ทำให้ Chainlink พิเศษคือ การหาวิธีการกระจายอำนาจในการดึงข้อมูลจากออราเคิลและส่งเข้าไปใน Ethereum Blockchain ถึงวันนี้เราไม่เคยเห็นโครงการอื่นใดที่นำเสนอหนทางการแก้ไขปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจากระบบนิเวศบล็อกเชน
Chainlink อาจไม่ใช่ธุรกิจที่น่าดึงดูด แต่หากไม่มีเทคโนโลยีของ Chainlink สัญญาที่ชาญฉลาดอาจ ทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ นี่คือหนึ่งในการก้าวกระโดดในการออกแบบเครือข่าย เหมือนกับที่ IBM สร้าง Middleware และเหมือนกับที่ Cisco เชื่อมโยงเว็บไซต์ผ่านเราเตอร์เพื่อแชร์ภาษากลาง มันเป็นการก้าวกระโดดครั้งสำคัญที่จะทำให้สัญญาอัจฉริยะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
แนวทางการแก้ปัญหาของ Chainlink (Chainlink Solution) จะทำให้อีกหลายธุรกิจในอีกหลายอุตสาหกรรม รังสรรค์สิ่งใหม่ๆ บนสัญญาอัจฉริยะ และการให้บริการข้อมูลจาก Chainlink ทั้งเอกสารทางการเงิน สัญญาประกัน เอกสารทางกฎหมายการค้าระหว่างประเทศ หรือแม้แต่สัญญาระหว่างอุปกรณ์ต่ออุปกรณ์ และแอพพลิเคชั่นอื่นๆอีกมากมายที่ยังไม่ได้คิด กำลังจะเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ เมื่อทุกคนเห็นความเป็นไปได้ และเริ่มทดสอบสร้างอะไรใหม่ๆ
A Network within a Network
ในระบบนิเวศ Blockchain โหนดคือคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย โหนดตรวจสอบ การทําธุรกรรม และ Chainlink จะใช้การรวบรวม “โหนด” อิสระเพื่อรวบรวมข้อมูลจาก ออราเคิล ตัวอย่างเช่นหนึ่งโหนดอาจเชื่อมต่อกับ National Weather Service อีกอันจะ เชื่อมต่อกับ NYSE และอื่น ๆ … เพื่อป้องกันการฉ้อโกง Chainlink ใช้หลายโหนดและเปรียบ เทียบผลลัพธ์ จากนั้นจะปรับข้อมูลให้เรียบโดยอัตโนมัติและส่งไปยังสัญญาสมาร์ทที่ร้องขอ สัญญาที่ชาญฉลาดโดยใช้ oracle จะชําระค่าธรรมเนียมเป็น LINK (โทเค็นของ Chainlink) สําหรับข้อมูล เพื่อทําให้ Chainlink สามารถยืนยันว่าผู้ให้บริการโหนดวางโทเค็นลิงก์ไว้เป็นหลักประกัน ดังนั้นการลงโทษสําหรับการให้ข้อมูลที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นในทันที และบทลงโทษคือ โดนปรับเงิน
How It Works : Chainlink’s On-Chain
ในฐานะบริการ Oracle โหนด Chainlink จะตอบกลับการร้องขอข้อมูลและการสืบค้นที่สร้างขึ้นโดยหรือในนามของสัญญาผู้ใช้ ด้านหลังส่วนต่อประสานผู้ใช้ Chainlink มีส่วนประกอบ แบบ on-chain ซึ่งประกอบด้วยสัญญาหลักสามสัญญา คือ สัญญาชื่อเสียงสัญญาการจับคู่คําสั่ง ซื้อและสัญญารวม
สัญญาที่มีชื่อเสียง: ติดตามตัวชี้วัดประสิทธิภาพของผู้ให้บริการ Oracle
สัญญาการจับคู่คําสั่งซื้อ: ใช้ข้อตกลงระดับบริการที่เสนอ (SLA) บันทึกพารามิเตอร์ SLA และรวบรวมการเสนอราคาจากผู้ให้บริการ oracle จากนั้นจะเลือกการเสนอราคาโดยใช้สัญญา ด้านชื่อเสียงและทําการสรุป oracle SLA
สัญญาการรวบรวม: รวบรวมการตอบสนองของผู้ให้บริการพยากรณ์และคํานวณผลรวม สุดท้ายของการสืบค้น Chainlink
นอกจากนี้ยังดึงข้อมูลตัวชี้วัดของผู้ให้บริการออราเคิลกลับสู่สัญญาชื่อเสียง เวิร์กโฟลว์แบบ ออนไลน์มีสามขั้นตอน: 1) การเลือก oracle, 2) การรายงานข้อมูลและ 3) การรวมผลลัพธ์
How It Works : Chainlink’s Off-Chain Architecture
โหนด Chainlink ขับเคลื่อนโดยการใช้งานโอเพ่นซอร์สคอร์มาตรฐาน (Chainlink Core) ซึ่งจัดการการโต้ตอบ blockchain มาตรฐานการกําหนดตารางเวลาและการเชื่อมต่อกับ ทรัพยากรภายนอกทั่วไป ผู้ให้บริการโหนดอาจเลือกที่จะเพิ่มส่วนขยายซอฟต์แวร์ – หรือที่เรียก ว่าอะแดปเตอร์ภายนอก – ที่ให้บริการแบบพิเศษเพิ่มเติม อะแดปเตอร์เป็นบริการภายนอกด้วยการสร้างแบบจําลองอะแดปเตอร์ในลักษณะที่มุ่งเน้นบริการโปรแกรมในภาษาการเขียน สามารถนําไปใช้ได้ง่ายเพียงแค่เพิ่ม API
Chainlink’s Security
การรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับออราเคิลที่กระจายอํานาจให้ทํางานตามที่ตั้งใจไว้ Chainlink ดําเนินการหลายขั้นตอนเพื่อให้แน่ใจในความสมบูรณ์ของบริการ
การประกันแบบหลักประกัน: เจ้าของสัญญาที่ชาญฉลาดสามารถขอให้โหนดมีหลักประกัน (โทเค็นการเชื่อมโยง) เพื่อให้แน่ใจว่างานเสร็จ หากไม่สามารถส่งข้อมูลหรือทำตามข้อตกลงได้ เงินฝากซึ่งเป็นหลักประกันจะถูกริบไปยัง เจ้าของสัญญา
วิธีการกระจายอํานาจ: วิธีง่ายๆในการจัดการกับแหล่งเดียวที่ผิดพลาด คือการรับข้อมูลจากหลายแหล่ง Chainlink ทําสิ่งนี้โดยใช้หลายโหนดและแหล่งข้อมูลเพื่อให้ บริการสัญญาที่ชาญฉลาด
อีกวิธีหนึ่งที่ Chainlink จะใช้ในอนาคตเพื่อเพิ่มเติมแนวทางการกระจายอํานาจคือ Trusted hardware Trusted hardware ได้รับการออกแบบมาเพื่อป้องกันการงัดแงะและต่อต้านจากการเข้าถึงทางกายภาพโดยตรง
การดำเนินการที่เชื่อถือได้อาจต้องใช้ฮาร์ดแวร์พิเศษ ด้วยเหตุนี้ Chainlink จึงได้รับ “trusted hardware system” ซึ่งเรียกว่า Town Crier ได้รับการพัฒนาโดย Ari Juels ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่ Cronell University และที่ปรึกษาด้านเทคนิคของ Chainlink
Town Crirt เป็น “High Trust Bridge” ระหว่าง Ethereum Blockchain และแหล่งข้อมูลออนไลน์
Chainlink’s Security Services
ระบบตรวจสอบความถูกต้อง: ตรวจสอบพฤติกรรมออราเคิลแบบออนโซ่จัดให้มีการวัด ประสิทธิภาพตามวัตถุประสงค์ที่สามารถเป็นแนวทางในการเลือกผู้ใช้ออราเคิล
ระบบชื่อเสียง: บันทึกและเผยแพร่การจัดอันดับผู้ใช้ของผู้ให้บริการและโหนดของออราเคิลซึ่ง เสนอวิธีการสําหรับผู้ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของ oracle มันประกอบไปด้วยองค์ ประกอบพื้นฐานแบบออนไลน์ซึ่งการให้คะแนนของผู้ใช้นั้นมีไว้เพื่อการอ้างอิงสมาร์ทอื่น ๆ
บริการออกใบรับรอง: ปัญหาการรับรองของผู้ให้บริการพยากรณ์ที่มีคุณภาพสูง
บริการอัพเกรดสัญญา: บริการ opt-in ที่ผู้ใช้สามารถควบคุมเพื่อจัดการกับสัญญาสมาร์ทที่ผิดพลาด
Building Partnerships
Chainlink สร้างพันธมิตรตั้งแต่เริ่มเป็น SmartContract โดยรวมตอนนี้มีมากกว่า 30 และนี่ คือพันธมิตรที่สําคัญบางส่วน สมาคมเพื่อการสื่อสารทางการเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก (SWIFT): ระบบการโอนเงินผ่าน ธนาคารระดับโลกที่เคลื่อนไหวมากกว่า 5 ล้านล้านเหรียญต่อวัน มูลนิธิ Web3: มูลนิธิสวิสที่เน้นเทคโนโลยีบล็อกเชน ผู้ให้บริการข้อมูล: ClinTex (ข้อมูล ทดลองทางคลินิก), Kaiko (ข้อมูลสินทรัพย์ดิจิทัล), Brave New Coin (ข้อมูลการเข้ารหัสลับ ) และ Data Sports Group (ข้อมูลกีฬา) โครงการ cryptocurrency ที่โดดเด่น: โครงการ ZeppelinOS และ ConsenSys (OpenLaw, Matic Network, Harmony และ Kaleido)
A Disruptive Example
บริษัททางการเงินจ่าย Bloomberg 6.5 พันล้านดอลลาร์ต่อปีเพื่อเข้าถึงเทอร์มินัล 325,000 เครื่องและข้อมูลทางการเงินจํานวนมหาศาลที่พวกเขาให้ พิจารณาสิ่งนี้ว่า“ เงินเดิมพันรายปี” สําหรับข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ แต่มีปัญหา: บริษัทเหล่านี้พึ่งพา Bloomberg เป็นศูนย์กลางมากเกินไปกับข้อมูลของพวกเขา นั่นเป็นจุดรวมศูนย์ของความล้มเหลว หาก Bloomberg ถูกแฮ็กหรือเสีย หายนั่นอาจส่งผลต่อฟีดหรือการป้อนข้อมูล
Chainlink สามารถใช้ Blockchain เพื่อให้ข้อมูลที่กระจายอํานาจ และตามที่ผู้อ่านทั่วไปรู้กันว่าบล็อกเชนนั้นเป็นระบบป้องกันการงัดแงะหรือการเจาะระบบ ทำให้ยากต่อการเจาะระบบเพื่อทำลายระบบ เพราะ กระจายข้อมูลไปยังเครือข่ายแทนที่จะเก็บไว้ในที่เดียว แต่บริษัทต่างๆก็ยังต้องการความมั่นใจ ว่าข้อมูลที่พวกเขาได้รับจากบล็อกเชนนั้นจะมีความแม่นยํา ดังนั้นพวกเขาจะต้องใช้โหนด Chainlink เพื่อเชื่อมโยงการเดิมพันเป็นประกัน ดังนั้นโหนดจะสูญเสียเงินเดิมพันถ้ามันส่งข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและก่อความเสียหาย บทลงโทษทางการเงินนี้เป็นการสร้างแรงจูงใจรูปแบบนึงให้กับโหนดเพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้อง
ในตอนนี้มี Smart Contract มากกว่า 10ล้านแหล่ง และในปี 2023 ก็คาดการว่าจะมีมากกว่านั้นอีกมาก ซึ่งถ้า Chainlink เข้ามาเป็นตัวกลางในการป้อนข้อมูลสู่ตลาดโลกได้ เพียงแค่ 2% จะทำให้มูลค่าของ Chainlink (LINK) เพิ่มขึ้นเป็นราว28$ ต่อเหรียญ แต่ในที่ผู้เขียนกำลังเขียนบทความนี้ LINK มีมูลค่าน้อยกว่า $1 ต่อเหรียญ แต่ข้อมูลล่าสุด LINK มีมูลค่าราวเหรียญละ 3$ หากมูลค่าคาดการณ์เป็ร 28$ หมายความว่า มีช่องว่างให้เติบโตราว9.33เท่า หรือราว 933% อย่างไรก็ตามนักลงทุนควรพิจารณาการลงทุนให้ดี เพราะ LINK ยังเติบโตบนกระแส และอีกเหตุผลคือ LINK ราคาปรับขึ้นมาจากช่วงเริ่มเขียนบทความราว 3-5เท่า ทำให้อาจมีความเสี่ยง หากราคาปรับลดลงในอนาคต
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการตัดสินใจลงทุน
ปล.ไม่ได้รับเงินหรือโฆษณา แค่คิดว่ามันน่าสนใจ เลยเอามาตีแผ่
ปล2. ต่อไปแนวคิดของ Chainlink จะมีมาอีก เพื่อ Cross Check ว่าระบบของ LINK กันการโกง