สวัสดีครับวันนี้เราจะมาเล่าเกี่ยวกับสกุลเงินดิจิทัลของประเทศจีนที่มีชื่อว่า DCEP หรือ Digital Currency Electronic Payment (ซึ่งจริงๆแปลว่าระบบชำระเงินด้วยซ้ำ) ซึ่งก่อนที่จะไปเล่าถึงตัว DCEP นี้ต้องขอบอกก่อนว่าปัจจุบันยังไม่มีเอกสาร Official เกี่ยวกับการทำงานในรายละเอียดของ DCEP ออกมา เพราะฉะนั้นข้อมูลในบทความนี้จะสรุปจาก
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!- ข่าวการทดสอบสกุลเงินดิจิทัลของจีน
- คำปราศัยของ Huang Qifan ศูนย์การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีน ในงาน BundSummit
- บทความและข้อมูลจากการสัมภาษณ์ Mu Changchun หัวหน้าฝ่ายวิจัยสกุลเงินดิจิทัลและรองผู้อำนวยการ ธนาคารประชาชนจีน
เพราะฉะนั้นข้อมูลในบทความนี้อาจจะมีจุดที่ผิดพลาดหรือแตกต่างออกไปบ้างเมื่อทางธนาคารแห่งประชาชนจีนได้ประกาศเอกสารตัวเต็มเกี่ยวกับ DCEP นี้
DCEP คืออะไร?
DCEP (Digital Currency Electronic Payment) นั้นเป็นชื่อโครงการพัฒนาเงินดิจิทัลประจำชาติของจีน ซึ่ง DCEP นั้นถูกสร้างโดยมีเทคโนโลยี Blockchain เป็นพื้นฐาน โดยคุณสมบัติคือมันเป็น CBDC (Central Bank Digital Currency) มันไม่ต่างอะไรกับเงินหยวนเพียงแต่ว่ามันอยู่ในรูปดิจิทัลที่มีมูลค่ารองรับกับค่าเงินหยวนนั้นเอง ซึ่งที่จริงแล้วปัจจุบันในธนาคารของแต่ละประเทศนั้นก็มีเงินที่อยู่ในรูปดิจิทัลทั้งนั้น (เงินที่อยู่ใน Mobile Banking นั้นธนาคารเป็นเจ้าของร่วมกับเรา)เพียงแต่ว่าใช้ในระบบธนาคารโดยที่คนทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เงินดิจิทัลอย่าง DCEP นี้จะเป็นสิ่งที่ทำให้คนธรรมดาถือเงินดิจิทัลได้ไม่ต่างกับเงินสด
DCEP นั้นแตกต่างจาก Wechat Pay หรือ Alipay อย่างไร
หลายคนที่ใช้ระบบ Mobile Banking นั้นอาจจะไม่เข้าใจว่ามันต่างจาก Alipay ยังไง ซึ่งถ้าเรามองในมุมมองของผู้ใช้งานจริงๆสุดท้ายมันอาจจะไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยก็ได้เพราะมันเป็นระบบที่ทำงานอยู่เบื๊องหลัง ซึ่งเบื๊องหลังนั้นสิ่งที่เปลี่ยนไปคือฐานข้อมูลที่ใช้ระบุการใช้จ่ายหรือยอดเงินที่เคยเก็บแบบ Single Server ที่เก็บไว้ที่บริษัทเอกชน จะถูกย้ายมาบริหารบน Blockchain ของ DCEP ซึ่งเป็นของรัฐบาล
หนึ่งในข้อมูลที่หลุดออกมาคือการเปิด DCEP นี้สามารถทำได้โดยไม่ต้องใช้บัญชีธนาคารแต่อย่างใด แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าท้ายที่สุดแล้วเราก็ต้องใช้ Wallet จากธนาคารที่มีการเก็บข้อมูลหรือเปล่า
DCEP ต่างจาก Libra หรือ Bitcoin อย่างไร
DCEP นั้นเป็น Cryptocurrency แบบ CBDC ซึ่งออกโดยรัฐบาลและมีการรองรับมูลค่ากับหยวนนั้นหมายความว่าความน่าเชื่อถือของมันนั้นเกิดขึ้นจากการรองรับของรัฐบาลจีน ซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจการผลิตเงินโดยตรง ในทางกลับกับ Libra ที่เป็งองค์กรเอกชนนั้นไม่ใช่ผู้คุมอำนาจการผลิตเงินโดยตรงจึงจำเป็นต้องรองรับไว้ด้วย Reserve ที่เป็นเงินกระดาษจริงๆที่มีอยู่ แต่ในทางกลับกัน DCEP นั้นไม่ต้องมีการผลิตเงินที่จับต้องได้แต่อย่างใด
หากเราไปเทียบกับ Bitcoin แล้วจุดที่แตกต่างคือความเป็นเจ้าของในสกุลเงิน ระบบอย่าง Bitcoin นั้นไม่ได้มีเจ้าของถือเป็นเงินของประชาชน ในทางกลับกัน Libra เป็นเงินขององค์กรและ DCEP นั้นเป็นเงินของรัฐบาลไม่ต่างอะไรจาก fiat ที่ผลิตได้อย่างไม่จำกัด
อะไรคือจุดประสงค์ในการสร้างสกุลเงินดิจิทัลของจีน
… #PBOC has been studying #DCEP for five or six years, and is likely to be the first central bank in the world to launch a digital currency,” said Huang Qifan, Vice President of #China Center for International Economic Exchanges, in #BundSummit #stablecoin #digitalcurrency pic.twitter.com/2M2lKKAWoA
— China Finance 40 Forum (CF40) (@ChinaFinance40) October 28, 2019
ทางการจีนนั้นได้มีการศึกษาการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลด้วย Blockchain มาตั้งแต่ปี 2014 แล้วซึ่งอาจเรียกได้ว่าเร็วที่สุดในโลก ซึ่งในปี 1994 Zhou Xiaochuan ผู้อำนวยการของธนาคารประชาชนจีนนั้นก็เคยได้พยายามผลักดันการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติมาก่อนแล้วเสียด้วย โดยเมื่อ ตุลาคม 2019 ที่ผ่านมา Huang Qifan รองประธานศูนย์การแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีน ในงาน Bundsummit ถึงเหตุผลที่จียต้องสร้างสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติดังนี้
1.ความอิ่มตัวของ Mobile Payment ในจีน
จีนนั้นเป็นประเทศที่มีการเติบโตทางด้าน Mobile payment ที่สูงที่สุดในโลก ในปี 2018 ตลาด Mobile payment มีมูลค่าอยู่ที่ 180 พันล้านดอลลาร์ แต่ในจีนกลับมีมูลค่าอยู่ที่ 39 ล้านล้านดอลาร์ ซึ่งมูลค่าตลาดนั้นต่างกันถึง 200 เท่าจะเรียกได้ว่าบริการ Mobile payment อย่าง Alipay หรือ WeChatPay นั้นแทบจะครอบคลุมประชากรจีนทั้งหมด 1400 ล้านคนในจีน ทำให้อัตราการปฏิเสธที่จะรับเงินสดของร้านค้าเพิ่มขึ้น นั้นทำให้ความต้องการในการพัฒนาขั้นต่อไปของ Mobile payment และ Cross border transfer นั้นเกิดขึ้น และด้วยตลาดที่ใหญ่ขนาดนี้มันมีความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆที่อาจะทำให้ระบบเหล่านี้ล่มอย่าง แผ่นดินไหว ไฟฟ้าขาด นั้นทำให้จีนได้ศึกษา Blockchain ในการจัดการความเสี่ยงนี้
2.ลดการผูกขาดตลาดจากอเมริกา
ปัจจุบันนั้นตลาดการโอนเงินระดับโลกนั้นถูกผูกขาดด้วระบบ SWIFT และ CHIPS ซึ่งสองระบบนี้ครอบครองส่วนแบ่งการทำธุรกรรมด้วยเงินดอลลาร์ถึง 90% ของทั้งโลก การซื้อน้ำมันนั้นต้องใช้เงินดอลลาร์เท่านั้นทำให้ทั่วโลกต้องถือดอลลาร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทำให้ทุกคนบนโลกต้องใช้ดอลลาร์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทั้ง SWIFT และ CHIPS นั้นกลายเป็นเหมือนอาวุธในสงครามทางการเงินของอเมริกา เช่นในปี 2014 อเมริกาได้พยายามขู่รัสเซียว่าจะกันรัสเซียออกจากระบบ Swift ในสงครามราคาน้ำมันซึ่งส่งกับเศรษฐกิจของรัสเซียโดยตรง นอกจากนี้ระบบ Swift นั้นยังเก่าและล้าหลังมาก ในปี 2019 การทำธุรกรรมผ่านระบบ Swift ต้องใช้เวลาถึง 3-5 วัน (Bitcoin กำเนิดขึ้นในปี 2009 และใช้เวลาโอนเงินเพียง 10-20 นาที) ซึ่งเราจะได้เห็นความพยายามของทุกประเทศที่ศึกษา Blockchain ในการแก้ปัญหานี้
3.หาวิธีในสร้าง “สกุลเงินของโลก” ขึ้นมาใหม่
ในอดีตนั้นการที่จะสร้างสกุลเงินขึ้นมาได้นั้นจะต้องมีทองคำในการรองรับสกุลเงิน แต่ระบบนี้ก็ได้ล่มสลายไปในกรณี Nixon shock ในปี 1971 ทำให้สกุลเงินนั้นถูกรองรับด้วย GDP หนี้สาธารณะ ความเชื่อมั่น และงบของคลัง และด้วยอำนาจทางการทหาร เศรษฐกิจ การผูกขาดน้ำมันที่ต้องใช้ดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์นั้นกลายเป็น “สกุลเงินของโลก” และนั้นทำให้อเมริกากลายเป็นประเทศที่มีอำนาจในการสร้างหนี้ด้วยการดึงมูลค่าของเงินดอลลาร์ที่อยู่ในมือประเทศต่างๆไป ในปี 1970 ธนาคารกลางสหรัฐมีเงินอยู่น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์ แต่ในปี 2019 กลับมีเงินกว่า 22 ล้านล้านดอลลาร์และเพิ้มหนี้ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งการที่เราจะกลับสู่ Gold standard ก็เป็นไปไม่ได้ ทางเดียวที่สามารถทำได้คือการสร้างสกุลเงินดิจิทัลแห่งชาติและกระจายการใช้งานออกไปให้ผู้คนมีทางเลือกในทางการเงิน
4.เพิ่มประสิทธิภาพในอุตสหกรรม
การพัฒนาด้านอินเทอร์เนตนั้นเป็นสิ่งที่ทุกประเทศนั้นเห็นได้อย่างชัดเจนมาตลอด แต่การจะก้าวไปยังยุคต้องไปนั้นจะต้องเป็นการพัฒนาของ Internet + Finance ซึ่งการมีเงินดิจิทัลเป็นรากฐานจะเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้อุตสหกรรมต่างสามารถพัฒนานวัตกรรมที่ดีขึ้นและตอบโจทย์ได้
การทดลองใช้งาน DCEP
ปัจจุบันมีข่าวรายงานว่า DCEP จะถูกมอบให้ธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ในเครือของธนาคารกลางจีน เช่น ICBC และ Agriculture Bank of China และเมือง เซินเจิ้น, เฉิงตู, สงอันและซูโจวจะกลายเป็นเมืองแรกที่ทดสอบ DCEP และมีภาพหลุดตัวอย่างการใช้งานออกมาในข่าว
หลังจากนั้น DCEP ได้รับความสนใจจากสังคมมากมายซึ่งบริษัทต่างๆ ทำให้บริษัทต่างได้ประกาศว่ายินดีจะเข้าร่วมทดสอบระบบ DCEP ซึ่งรวมถึง Starbucks, McDonald และ Subway และมีรายงายว่าบริษัทมีอีกกว่า 19 แห่งเข้าร่วมทดสอบ นอกจากนี้ยังมีรายงานว่ามันสามารถทำ Offline payment ได้ผ่าน NFC แต่ยังไมีมีข้อมูลทางเทคนิคที่เปิดเผยว่าใช้วิธีการใด
วิเคราะห์ DCEP (เป็นความคิดเห็นส่วนตัว)
ผลกระทบที่มีต่อคนจีน
แต่อย่างไรก็ตามในมุมมองของคนจีนส่วนใหญ่แล้วมันอาจจะไม่มีอะไรต่างไปจากเดิม เพราะการพัฒนา DCEP นั้นในเบื๊องต้นนั้นจะถูกเอามาใช้แทน M0 และการที่ผู้คนต่างๆคุ้นชินกับการใช้ Alipay หรือ WechatApy อยู่แล้วทำให้ในทางผู้ใช้งานอาจจะไม่รู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
การสร้างหยวนดิจิทัลนั้นมีประโยชน์ในทางด้านการ Settlement ภายในและการลดต้นทุนเพราะไม่ใช่แค่มันไม่ต้องมีการผลิตเงินที่จับต้องได้แต่ว่าการ Settlement ที่ต้องมีการโย้กย้ายเงินจริงๆก็จะหายไปเท่ากับว่าระบบการเงินภายในจีนจะเร็วขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งการที่เงินหมุนเร็วขึ้นนั้นมีผลโดยตรงกับ GDP
ทำไม Libra ถึงตายลงไปแต่ DCEP กลับรุ่งเรื่อง
สิ่งที่ Libra ประสบปัญหานั้นไม่ใช่ปัญหาด้านเทคโนโลยีแต่เป็นปัญหาเรื่องการยอมรับว่า “อำนาจในการสร้างเงินตรานั้นต้องเป็นของรัฐบาล” (แม้ว่าที่จริงแล้วแนวคิดของตั๋วเงินเริ่มต้นจากเอกชน) ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลนั้นกลับมีความชอบธรรมในการที่จะผลิตเงินมากกว่าเอกชนในปัจจุบัน
นอกจากนี้อเมริกานั้นเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนนั้นใส่ใจเรื่องอิสระภาพและความเป็นส่วนตัว ประกอบกับการที่ Facebook มีข้อพิพาทเกี่ยวกับการเลือกตั้งของ โดนัล ทรัมป์ ในทางกลับกันจีบปกครองด้วยระบบเผด็จการจากพรรคคอมิวนิสต์จีนซึ่งในประวัติศาสตร์จีน ประเทศจีนไม่เคยมีประชาธิปไตย ประชาชนชาวจีนส่วนใหญ่นั้นไม่ได้มีมุมมองเรื่องเสรีภาพและความเป็นส่วนตัวเท่ากับอเมริกา
การควบคุมอันเบ็จเสร็จ
จากข้อมูลนั้นการใช้งานดิจิทัลหยวนนั้นจะไม่ต้องเปิดบัญชีธนาคารแต่อย่างใดในการใช้งาน ซึ่งทางประกาศที่ออกมานั้นกล่าวว่าผู้ใช้งานจะได้รับความเป็นส่วนตัว แต่ก็สามารถถูกตรวจสอบด้วย Big Data ทำให้หาก DECP ถูกพัฒนาสำเร็จข้อมูลส่วนตัวจะถูกรัฐบาลเข้าถึงได้ นอกจากนี้หากใช้ในการเก็บภาษีไม่ว่าเราจะเป็นคนต่างประเทศที่ใช้งานก็อาจตกอยู่ใต้เงื่อนไขนี้เช่นกัน Data ของเราก็จะตกเป็นของจีน
ซึ่งเราก็ยังไม่ทราบว่าในอนาคตกระแสที่เกิดขึ้นบนโลกจะเป็นอย่างไรเพราะกำลังซื้อของชาวจีนนั้นสูงมาก จนหลายคนต้องยอมปรับตัวตามอย่างในกรณีของ Alipay แต่ก็อาจมีสงครามข่าวสารที่อาจะเกิดขึ้นเรื่องความเป็นส่วนตัวเช่นกัน
การลดทอนอำนาจเงินดอลลาร์
จากตอนต้นนั้นเราจะทราบว่าการที่อเมริกาผูกขาดน้ำมันและระบบ Swift นั้นเป็นสิ่งที่จีนนั้นตั้งเป้าจะลดการผูกขาด (อาจจะไม่ใช่แค่จีนหลายประเทศก็น่าจะเอือมระอา) หากจีนพัฒนาสำเร็จและสามารถชังจูงให้การ Settlement ของโลกหรือของเอเชียนั้นมาใช้ระบบหยวนดิจิทัลของจีนได้
ซึ่งอาจเป็นการลดทอนอำนาจของดอลลาร์ที่ถูกผูกขาดไว้ แต่เงินดอลลาร์ไม่น่าจะถึงกับไร้ค่าไปในทันทีเพราะอเมริกานั้นก็ยังผูกขาดในหลายๆด้านอยู่ และตราบใดที่โลกเรายังขับเคลื่อนด้วย “หนี้” หนี้ของอเมริกาก็ยังมีมูลค่าเสมอเหมือนกับที่เงินดอลลาร์มี
แต่อีกประเด็นที่น่าสนใจคือในปัจจุบันนั้นไม่เคยมีข่าวหลุดออกมาว่าอเมริกาได้ทำการวิจัยเงินดิจิทัลแห่งชาติหรือยังและถ้าทำอยู่ในจุดไหนแล้ว ด้วยการที่อเมริกานั้นเป็นประชาธิปไตยหากจะสร้างเงินดิจิทัลก็ต้องมีการผ่านความเห็นจากสภาและการลงคะแนนก็อาจจะกินเวลาอีกซักพัก
การพัฒนาเงินดิจิทัลของไทย
ธนาคารโลกนั้นออกมากล่าวว่าหากมีประเทศใดที่ยังไม่ค้นคว้าสกุลเงินดิจิทัลนั้นอาจจะเสียโอกาสอย่างมาก ซึ่งโชคดีที่ในประเทศไทยนั้นมีการพัฒนา โครงการอินทนนท์ ซึ่งค้นคว้าและวิจัยมานานแล้ว ซึ่งการพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลของไทยนั้นอาจะไม่ใช่การที่จะไปแข่งขันในระดับโลกแต่เป็นการยกระดับพื้นฐานด้านการเงินของประเทศและยังเป็นการปกป้องตัวเองในการแข่งขันอีกด้วย เพราะถ้าไม่สร้างเงินดิจิทัลเป็นของตัวเองและใช้หยวนดิจิทัลเท่ากับว่าข้อมูลทั้งหมดของเราก็จะเป็นของจีน
รุ่งอรุณของ Bitcoin
คำถามที่มีมาตลอดตั้งแต่ Libra จนกระทั่ง DCEP คือแล้ว Bitcoin จะถึงจุดจบหรือเปล่า? ซึ่งคำตอบในทางตรงคือมันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันเลยมันคือของคนละอย่าง มันเหมือนทองคำกับเงินสด ที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน Bitcoin ไม่ใช่เงิน Fiat ที่ถูกควบคุมโดยรัฐ Bitcoin นั้นยังเล็กมากเกินกว่าที่จะมีรัฐจะใส่ใจหรือมีผลต่อเงินดอลลาร์หรือหยวนด้วยซ้ำในปัจจุบัน
แต่ในทางอ้อมๆแล้วการกำเนิดของ Libra และ DCEP นั้นกลับเป็นประโยชน์ต่อ Bitcoin เพราะว่าการเข้ามาของเงินดิจิทัลนั้นไม่เร็วหรือช้าก็ต้องมีคนที่เข้าใจว่าการใช้เงินนั้นจะถูกรัฐควบคุม และจะมีความต้องการของคนที่ต้องการจะไม่ถูกควบคุมหรืออกจากระบบเสมอไม่ว่าเหตุผลนั้นจะมาจากความไม่วางใจในรัฐบาล การใช้เงินในทางผิดกฎหมายหรือ การรักษาความเป็นส่วนตัวของตัวเอง
ซึ่งจะมีคนที่หันมาสนใจ Bitcoin มากขึ้นคนจะรู้ว่า Bitcoin ทำอะไรมันเกิดจากอะไร การรักษาความเป็นส่วนตัวหรือการออกจากระบบเดิมการเงินของ Bitcoin คืออะไร