fbpx

Not Your keys, Not Your Coins ทำความเข้าใจ Private Key สิ่งที่จะทำให้ Cryptocurency เป็นของคุณอย่างแท้จริง

บ่อยครั้งที่มีคนได้ทำการกล่าวโทษว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะมันสามารถทำหายได้ ซึ่งอันที่จริงแล้ว Cryptocurrency นั้นเป็นสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงหากคุณควบคุม Private Key

Not Your keys, Not Your Coins ทำความเข้าใจ Private Key สิ่งที่จะทำให้ Cryptocurency เป็นของคุณอย่างแท้จริง

28 Jan 2020

ในวันที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้ก็เพิ่งมีข่าวเรื่อง Peter Schiff นักลงทุนในทองคำที่เกิดทำรหัสผ่านของ Wallet Bitcoin ของตัวเองหาย และได้ทำการกล่าวโทษว่า Bitcoin เป็นสิ่งที่ไม่ดีเพราะมันสามารถทำหายได้ ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะบอกว่ามันมีส่วนที่จริงๆและไม่จริง เพราะ Cryptocurrency นั้นเป็นสิ่งที่คุณเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงหากคุณควบคุม Private Key

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

 

เงินในธนาคารเป็นของคุณหรือเปล่า

ทุกวันนี้เราฝากเงินอยู่ในธนาคารครับแม้แต่ผมเองก็ตาม แต่คำถามคือเงินที่คุณฝากธนาคารนั้นเป็นของคุณจริงๆหรือเปล่าคุณเคยคิดเรื่องนี้ไหม แน่นอนว่าเราฝากเงินในธนาคารส่วนหนึ่งเพราะเราไม่มั่นใจในการเก็บเงินของตัวเองเพราะมันอาจถูกขโมยได้แต่เมื่อคุณฝากไปที่ธนาคารในทางกฎหมายมันอาจจะเป็นของคุณก็จริง แต่ถ้าลองคิดดูดีๆว่าในทางปฏิบัติหละมันเป็นของคุณหรือเปล่า

สมมติว่าคุณเป็นคนหาเช้ากินค่ำคนหนึ่งแล้ววันดีคืนดีคุุณเดินไปซื้อล๊อตตารี่คุณพบว่าคุณถูกล็อตตารี่ถึง 30 ล้านด้วยกัน คุณดีใจมาก คุณจึงนำล็อตตารี่ไปขึ้นเงินแล้วนำมันไปฝากให้ธนาคารดูแลอย่างปลอดภัยอย่างสบายใจ โดยคิดว่าจะนำเงินไปจ่ายเงินค่าเรียนให้ลูกของคุณเอาเงินให้พ่อแม่หรือซื้อสิ่งที่คุณอยากได้

ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นมีลุงหัวล้านที่ไหนก็ไม่รู้มาบอกว่าล็อตตารี่ใบนั้นเป็นของเขาพร้อมกับเดินไปแจ้งความกับตำรวจ ตำรวจก็ไม่มีทางเลือกนอกจากแจ้งไปยังธนาคารเพื่อสอบสวนว่าเรื่องนี้เป็นจริงไหมพร้อมกับอายัดบัญชีของคุณไม่ให้คุณถอนเงินได้ กว่าคุณจะดำเนินการฟ้องร้องคดีเพื่อนำเงินที่เป็นของคุณออกมาก็เวลาผ่านไปกว่า 3 ปีแล้วกว่าคุณจะได้มันคืน 

“แล้วสรุปเงินในธนาคารเป็นของคุุณหรือเปล่าหละ?”

ถ้าเราเอาคำตอบแบบกฎหมายก็คง ”ใช่”แต่ถ้าเอาคำตอบในทางปฏิบัติคือ “ไม่” ครับการที่คุณฝากเงินไปที่ตัวกลางใดก็ตามทางกฎหมายมีช่องมากมายที่เขาจะทำอะไรกับเงินของคุณ ธนาคารสามารถเอาเงินของคุณไปปล่อยกู้และหมุนเงินได้โดยที่เงินของคุณเป็นเพียงแค่ตัวเลขในบัญชีเท่านั้น

 

Cryptography กับ Digital Signature สิ่งที่ทำให้ข้อมูลของคุณเป็นส่วนตัว

คุณเคยสงสัยไหมครับว่าปกติเวลาเรากรอก Username กับ Password ของเราใน Facebook หรือ Google พวกเขาจะรู้ Password ของเราและเอา Password ของเราไปหรือเปล่าคำตอบคือ “ไม่นะครับ”

โดยปกติแล้วเวลาที่คุณใส่ Password ผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณรหัสผ่านของคุณไม่เคยไปยัง Google หรือ Facebook เพราะว่ามันถูกเข้ารหัสไปแล้วชั่นหนึ่งซึ่งทาง Facebook กับ Google มีหน้าที่ตรวจสอบว่าข้อความที่ถูกเข้ารหัสนั้นถูกต้องหรือไม่เท่านั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่า Password ของคุณคืออะไร

หลักการนี้เรียกว่า Digital Signature ซึ่งใน Cryptocurrency ก็ใช้หลักการเดียวกันโดยการสร้างคู่ของกุญแจซึ่งก็คือ Private key และ Public Key ด้วยวิธีการ Asymetric cryptography (เดียวจะอธิบายให้ฟังในส่วนถัดไป) โดย Public key จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถเปิดเผยให้ใครรู้ก็ได้ เพราะมันเป็นส่วนที่เอาถอดรหัสเพื่อยืนยันความเป็นเจ้าขอข้อมูล ส่วน Private key นั้นก็เหมือน Password ที่คุณไม่ควรบอกใคร

หลักการง่ายๆที่ Digtal signature ใช้คือเมื่อก่อนอื่นคือคุณต้องการจะบอกแฟนที่อยู่ไกลๆว่า “ผมรักคุณ” หลังจากนั้นคุณก็เข้ารหัสข้อความนี้ด้วย Private Key ของคุณกลายเป็นข้อความอะไรซักอย่างซึ่งตรงนี้คือ Digital signature หลังจากนั้นก็ส่งข้อความทั้ง “ผมรักคุณ” และ Digital signature ไปให้แฟนของคุณ

เมื่อแฟนของคุณได้รับข้อความก็เกิดสงสัยว่าคำว่า “ผมรักคุณ” นั้นส่งมากจากคุณจริงๆหรือเปล่าจึงได้นำ Public key ซึ่งใครๆก็รู้ว่าเป็นของคุณมาถอดรหัส Digital signature ซึ่งหากถอดรหัสแล้วได้คำว่า “ผมรักคุณ” ก็แปลว่าข้อความนี้มาจากคุณจริงๆ

Note:จริงๆหลักการเข้ารหัวพวกนี้เป็นหลักการทางคณิตศาสตร์ซึ่งหากจะอธิบายจริงๆมันจะยาวมาก เอาเป็นว่าเข้าใจว่ามันคือคณิตศาสตร์ก็แล้วกัน

 

Private Key คืออะไร?

ด้วย Digital Signature นี้ก็เป็นหลักการเดียวกันที่ Cryptocurrency ใช้ในการยืนยันการโอนเงินหรือยืนยันว่าตัวเองเป็นเจ้าของเงินนั้นเองโดยที่สิทธิ์ในการโอนและเป็นเจ้าของ การที่คุณจะส่งเงินไปให้คนอื่นแล้วจะให้คนอื่นเชื่อว่าการโอนเงินนั้นคุณเป็นคนโอนจริงๆคือการที่คุณใช้ Private key เข้ารหัสข้อมูลนั่นเอง

นั้นเป็นของผู้ถือ Private key ทำให้ Cryptocurrency เป็นของคุณอย่างแท้จริง เพราะหากปราศจาก Private Key แล้วจะไม่มีใครสั่งโอน Cryptocurrency ของคุณได้เพราะมันถูกปกป้องไว้ด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์นั้นเอง

 

การสร้าง Private Key ที่ถูกต้อง

แล้วคำถามที่ทุกคนน่าจะสงสัยคือแล้วเราจะสร้าง Private Key ยังไงให้ไม่มีใครรู้กันหละ ซึ่งในจุดนี้ทางแอดมินอยากบอกว่าปัจจุบันมี Wallet ต่างๆมากมายที่สามารถสร้างอ Private Key ของคุณได้โดยที่คุณไม่ต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เนตด้วยซ้ำซึ่งเราจะให้รายฃื่อของ Wallet และเว็ปไซต์ที่น่าเชื่อถือตามด้านล่าง

  • Bitcoin core
  • Electrum
  • CoPay
  • Trust Wallet
  • Aom Wallet (ของคนไทย)
  • Cool Wallet (Hardware Wallet)

แต่ถ้าหากคุณห่วงเรื่องความเป็นส่วนตัวของคุณมากๆแอดมินขอนำเสนอวิธีการที่สุดแสนจะปลอดภัย เนื่องจากเนื้อแท้ของ Private Key คือตัวเลขขนาด 256 bit หรือข้อความที่ประกอบด้วย 0 และ 1 จำนวน 256 ตัวนั้นเอง เพราะอย่างนั้นคุณก็แค่นำกระดาษมา 1 ใบแล้วหยิบเหรียญมาทอย หากคุณทอยได้ หัว ให้คุณเขียนเลข 0 หากทอยได้ก้อยให้คุณเขียนเลข 1 ทำแบบ 256 ครั้ง นี้คุณก็จะได้ Private Key ออกมาชุดนึงอย่างเรียบร้อยแล้ว

 

Private Key นั้น Hack ได้หรือเปล่า

แล้วเป็นไปได้ไหมที่ Private key ของเราจะถูก Hack คำตอบคือเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันนี้ Private Key นั้นมีความเป็นไปได้อยู่ที่ 2^256 ซึ่งเป็นตัวเลขที่มหาศาลระดับมากๆ การพยายาม Hack ก็ไม่ต่างจากการเอากุญแจทั้ง 2^256 ตัวมาไขแม่กุญแจไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอคำตอบ ซึ่งมันอาจจะเป็นไปได้เมื่อ Quantum มาถึงแต่มันก็เป็นอนาคตที่ห่างไกลมากๆและทางเราเคยอธิบายไปแล้วว่ามันมีวิธีป้องกันมากมาบในบทความก่อนหน้า

 

Address คืออะไร?

 

หากจะอธิบายง่ายๆ Address นั้นคือที่อยู่บัญชีของคุณซึ่งไม่ต่างกับเลขบัญชีธนาคารที่ใช้ในการโอน บางคนอาจจะมีคำถามว่าแล้ว Address มันไม่ใช่ Public key นี่น่าแล้วมันคืออะไร ซึ่งจริงๆแล้ว Address ก็คือ Public Key เนี่ยแหละครับด้วยการเพิ่มการเข้ารหัสแบบ RIPEMD-160 SHA-256 และ Base58checksum ใครอยากรู้ว่าคืออะไรก็ไปดูได้ที่ https://en.bitcoin.it/wiki/Technical_background_of_version_1_Bitcoin_addresses

ปล. เผื่อใครอยากรู้ Base58checksum นั้นคือการตัดตัวอักษรอย่าง o 0 เพื่อป้องกันการอ่านตผิดบน Address 

เปิดบัญชีกับ Exchange แล้ว Private Key อยู่ที่ไหน

 

หนึ่งในความผิดพลาดที่สุดคือความเข้าใจว่าการฝากเงินไว้กับ Exchange นั้นปลอดภัยเพราะใน 10 ปีที่ผ่านมา Exchange ไม่ว่าจะมีระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีแค่ไหนหรือยิ่งใหญ่แค่ไหนก็เคยโดน Hack มาแล้วทั้งนั้น 

 

เมื่อคุณซื้อ Cryptocurrency และฝากเงินไว้กับ Exchange คนที่คุม Private key คือ Exchange ไม่ใช่คุณ ซึ่งไม่ต่างกับการฝากเงินกับธนาคาร คุณจึงควรฝากเงินไว้ใน Exchange เท่าที่คุณต้องการจะเทรดเท่านั้นจะดีกว่า

ปล. การที่ Bitcoin ใน Exchange ถูก Hack นั้นคือการที่ Exchange นั้นดูแล Private key ไม่ดีทำให้ถูกขโมยตัวเทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency ไม่ได้ถูก Hack แต่อย่างใด

 

 

จะรับผิดชอบสินทรัพย์ด้วยตัวเองหรือฝากคนอื่นดูแล

ด้วยเหตุนี้คุณจึงมีตัวเลือกระหว่างควบคุม Private key ด้วยตัวเองหรือจะนำ Private key ไปให้ผู้อื่นให้คนอื่นจัดการให้เหมือนธนาคาร ซึ่งจริงๆแล้วการที่ให้ผู้อื่นควบคุม Private key นั้นก็มีข้อดีอีกอย่างคือ หากคุณเป็นอะไรไปนั้นคุณสามารถยื่นเรื่องตามกฎหมายให้ Exchange หรือผู้ให้บริการรับฝาก Cryptocurrency นั้นมอบ Cryptocurrency ของคุณแก่ทายาทของคุณได้ ซึ่งก็เคยมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นๆจริงๆ

เพราะหากเรามองในเชิงธุรกิจการที่ให้คนๆหนึ่งเก็บ Private Key คนเดียวนั้นเป็นความเสี่ยงหากบุคคลผู้นั้นเป็นอะไรไป ทำให้ปกติธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ Cryptocurrency จะใช้ระบบ multisig ที่ให้หลายคนถือ Key ในกรณีที่ใครคนใดคนหนึ่งเป็นอะไรไป เคยมีกรณีที่เจ้าของ Exchange เก็บ Key ไว้แต่เพียงผู้เดียวแล้วเสียชีวิตและทำให้ผู้ใช้งานไม่สามารถถอนเงินได้ และนี่ก็เป็นข้อเสียที่ต้องแลกมากับการควบคุมด้วยตนเอง หากคุณรักษา Key ไว้ไม่ดีหากมันโดนขโมยก็จบกัน หรือถ้าคุณทำมันหายไปมันก็จะหายไปตลอดกาล ซึ่งมีรายงานว่า bitcoin จำนวน 1/10 ได้สูยหายไปแล้วเพราะผู้ใช้งานเก็บรักษาไม่ดี

 

Passphrase หรือ Recovery Seed 

ปกติแล้วถ้าคุณใช้บริการ Wallet ที่ควบคุม Private key เป็นของตัวเอง Wallet มักจะของให้คุณเก็บ Recovery Seed ในกรณีที่คุณทำ Private key หายซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือรูปแบบหนึ่งของ Private key นั้นเอง ซึ่งคุณควรจดไว้ในกระดาษอย่าทำมันหายและแน่นอนว่าอย่าให้ใครก็ตามเห็น
ปล. ในรูปนี่หามาจากเนต ชีวิตจริงอย่าไปเอาให้ใครดูนะ

ปปล. เคยมีคนจด Recovery key เสร็จโพสรูปลง IG Story อวดว่าเพื่อความปลอดภัยอย่าไปทำตามกันนะ

 

Hardware wallet สิปลอดภัยที่สุด

คุณอาจจะได้ยินว่า Hardware wallet เป็นสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด ซึ่งที่จริงๆแล้ว Hardware wallet นั้นมีความปลอดภัยในระดับเดียวกันกับพวก Paper wallet หรือ Offline wallet เพียงแต่ว่ามันสะดวกสบายกว่ามากกันมากเพราะมันมี Tool มากมายให้ใช้งาน

หลักการของ Hardware Wallet คือการที่ Private key นั้นถูกเก็บไว้ใน Hardware Wallet โดนมันถูกออกแบบให้ไม่ให้ malware ขโมยข้อมูลได้ ส่วนข้อมูลที่มันส่งออกมาคือข้อความที่ถูกเข้ารหัสแล้วเท่านั้นจึงปลอดภัยหายห่วง Hardware wallet ก็มีหลายแบบแต่ทางแอดมินจะขอแนะนำ Cool wallet ซึ่งเดียวจะมารีวิวให้ฟังกันอีกที (มีโค้ดลดราคาด้วยนะ) 

 

Private key นั้นเป็นสิ่งที่ทำให้ Cryptocurrency นั้นเป็นของคุณจริงๆครับ สำหรับใครที่ยังห่วงอยู่ก็ไม่ต้องห่วงเลยการถือ Private key ด้วยตัวเองนั้นเป็นการที่เงินของคุณถูกปกป้องด้วยหลักการทางคณิตศาสตร์ แต่ถ้าหากคุณไม่เชื่อในคณิตศาสตร์และคิดว่าคนน่าเชื่อถือกว่าบริการที่รับฝาก Cryptocurrency ที่ไม่ใช่ Exchange พวก Custody ก็มีนะครับอย่าง Coinbase custody หรือถ้าในไทยรู้สึกจะมี satang vault อยู่

และแล้วก็ถึงช่วงเวลา Hard Sell หากคุณกำลังมองหา Hardware Wallet ที่พกพาสะดวกและมีความปลอดภัยทางเราขอแนะนำ CoolWallet S ซึ่งเป็น Hardware Wallet ที่สามารถพกใส่กระเป๋าสตางค์ได้โดย Private key ถูกเข้ารหัสแบบ CC EAL5+ certified S.E. Chipset ซึ่งอยู่ในระดับ Military grade ที่ใช้ในกองทัพสหรัฐ

ตอนนี้มีโค้ด CRYPBR ลดราคา 1500 บาท จาก 4990 บาทเหลือ 3490 บาท
ซื้อผ่าน Shopee ได้ตามลิ้งค์
ปล. เดียวรีวิวแบบเต็มจะมาทีหลัง
https://tinyurl.com/yx7aprw8

Article
, , ,
Writer

Maybe You Like