ตั้งแต่ที่Bitcoinเป็นที่นิยม และราคาพุ่งสู่20,000ดอลลาห์สหรัฐ แต่ในระยะเวลา12เดือนที่ผ่านมา ราคาของBitcoinได้ลดลงมากกว่า 80% ความเป็นที่นิยมในการใช้ Bitcoin ของ ชาโตชิ นากาโมโต ในโปรเจ็คอื่นๆ เพื่อหาความเป็นไปได้ของเทคโนโลยีBlockchain ซึ่งทำให้เกิดการคิดนอกกรอบและให้กำเนิด Ethereum ,Ripple และโครงการอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งก่อให้เกิดความแปลกใหม่ในการใช้ ของ DLT
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ความสำเร็จของโปรเจ็คต่างๆที่ผ่านมา ทำให้เกิดความคาดหวังที่สูงและยังเป็นการปูทางให้โปรเจ็คอื่นๆอีกมากมาย ที่ต้องการเริ่มต้นและตามหาเงินระดมทุนจาก ICO ซึ่งทำให้เรานึกถึง วิกฤตฟองสบู่แตก ใน ช่วงปี 1990 ที่มีเงินจำนวนมากลงทุนไปในโปรเจ็คต่างๆที่มีแนวคิดที่น่าสนใจแต่กลับจบลงไม่สวย ไม่แน่เหตุการณ์เหล่านี้อาจเกิดขึ้นอีกครั้ง
อ้างอิงจาก รายงานที่ตีพิมพ์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2018
โปรเจ็ค ICO มากกว่า 1000 โปรเจ็คได้เลิกล้มไป ในขณะที่โปรเจ็คใหญ่ๆได้เริ่มต้นลดขนาดกิจการเพื่อให้คงอยู่ต่อไปได้
เริ่มรัดเข็มขัด(ประหยัด)!
2เดือนที่ผ่านมา หลายบริษัทได้เริ่มประกาศที่จะพัฒนา กระบวนการทำงานให้คล่องตัวขึ้น และในต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมา Joseph Lubin ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum ได้ประกาศแจ้งแผนการปรับโครงสร้างทางธุรกิจสู่บริษัทสตาร์ทอัพเกี่ยวกับsoftware และ ConsenSys
Lubin ได้แจ้งแผนการผ่านจดหมายสู่พนักงานของบริษัท โดยเรียกว่าเป็นการเข้าสู่บทใหม่ของบริษัท โดยมีชื่อเรียกว่า Consensys 2.0 ซึ่งเกี่ยวกับการแหล่งร้ายได้ให้ชัดเจน
“ เราควรที่จะคงไว้และหาเพิ่ม ความทะเยอทะยานและความแข็งแกร่งของจิตวิญาณความเป้นสตาร์ทอัพ ที่ทำให้เราเป็นเราในทุกวันนี้ และในขณะนี้เราได้ค้นพบว่าเราได้ยุ่งอยู่กับจักรวาลที่มีแต่การแข่งขัน[…] สู่การประสบความสำเร็จ[…] เราควรจดจำในสิ่งที่พาเรามาถึงจุดนี้ แต่สิ่งนั้นอาจไม่สามารถนำเราไปสู่จุดถัดไปได้”
ซึ่ง ConsenSys ได้ลงทุนเงิน และช่วยเหลือ กิจการสตาร์ทอัพ ใน Ethereum Blockchain นอกจากนี้ Lubin ยังได้พูดถึงอย่างชัดเจน ว่าจะเพิ่มการดูแลโปรเจ็คที่อยู่ใต้การดูแล และ จะไม่ลังเลที่จะล้มเลิกโปรเจ็ค ที่อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมาย เช่นเดียวกับการลดจำนวนพนักงานลง ซึ่งConsenSys ได้ยืนยันถึงการลดจำนวนแรงงานลงถึง 13%
Anthony Pomplianoนักบงทุนคริปโต ได้พูดถึง ในจดหมายข่าว ของเขา ว่า Lubin ใช้ไม้แข็ง แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นที่ต้องทำเพื่อควบคุมสถานการณ์
“ ๋Joe Lubin เป็นคนที่ฉลาด และ เฉียบคม เขาได้เป็นคนนำเทรนเทคโนโลยีต่างๆ และ ก่อตั้น หนี่งในบริษัทที่สำคัญในวงการคริปโต ในสถานการณ์ที่ไม่สู้ดี ทำให้เราเห็นเขาและทีมงาน ตัดสินใจในสิ่งที่ยาก เพื่อจะนำพาธุรกิจไปอยู๋ในจุดที่โตได้ การตัดสินใจในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลำบากใจ แต่ผู้นำที่ดีสามารถทำได้”
เช่นเดียวกับ Bitcoin Ethereum เคยมีราคาถึง 1400 ดอลลาห์สหรัฐ แต่ในตอนนี้ราคาซื้อขายกลับเหลือเพียง 94 ดอลลาห์สหรัฐ
สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
ในขณะที่ ConsenSys ได้ปรับตัวให้มี “mindset ที่ทะเยอทะยาน และแข็งแกร่ง”อย่างที่ Lubin ได้กล่าวไว้ บริษัทอื่นๆ ก็ได้เริ่มลดขนาดบริษัทลงเช่นกัน
โซเซียลมีเดีย “Steemit” ได้ประกาศว่าในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน จะมีการลดพนักงานลง ถึง 70% เนื่องจากสถานการณ์ของ cryptocurrency แพลทฟอร์มแบบกระจายอำนาจ ที่ได้ดำเนินการอยู่บน STEEM blockchain, ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดย CEO ของ Steemitม Ned Scott ได้พูดถึงความท้าทายในวีดีโฮของเค้า ระบุถึงการลดลงของอัตราแลกเปลี่ยนของ ยอดขายSTEEM รวมถึงค่าดำเนินกิจการของ steem นอกเหนือจากการลดจำนวนพนักงาน ทางบริษัทยังสนใจที่จะหาเทคโนโลยี ซึ่งสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินกิจการในอนาคต สภาพการตลาดที่ฝืดเคือง สร้างผลกระทบให้ steam ที่เคยมีเงินทุนถึง 400ล้านดอลลาห์สหรัฐ ในเดือน พฤษภาคม ปี 2017
งานในสายอาชีพเกี่ยวกับ Bitcoin และ Blockchain กำลังเพิ่มขึ้น
ในสถานการณ์ที่ตกต่ำ แต่ในภาพรวมโดยทั่วไปกลับเป็นไปในทางที่ดี อ้างอิงจาก LinkedIn study นักพัฒนาblockchain เป็นที่ต้อการอย่างสูงในตลาด และเป็นอาชีพที่เติมโตเร็วที่สุดใน สหรัฐอเมริกา ในตลอด3ปี ที่ผ่านมา งานที่เกี่ยวข้องกับblockchain และ cryptocurrency มีจำนวนเพิ่มขี้น ใน LinkedIn ในขณะที่เฟสบุ๊คซึ่งมีทัศนคติที่ดี ต่อ cryptocurrency ได้เปิดตำแหน่งงานใหม่เกี่ยวกับ blockchain ในเว็บรับสมัครงาน ในช่วงเดือนที่ผ่านมา งานเกี่ยวกับblockchain ได้รับความสนใจอย่างแพร่หลายในช่วง 2ปีที่ผ่านมา และ วิศวกรblockchain อาจสร้างรายได้ได้มากกว่า 150,000ดอลลาห์สหรัฐต่อปี เว็บไซต์ hired ได้รายงานว่า จะมีความต้องการของวิศวะกรblock chain ในตลาดแรงงานเพิ่มขึ้นถึง 400 % จากปี 2017 ไปสู่ปี 2018
การเปรียบเทียบการลดจำนวนลงของงานใน Crypto
อ้างอิงข้อมูลจาก บริษัท Challenger, Gray & Christmas ที่กำลังลดจำนวนพนักงานลง ได้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของการลดลงของจำนวนงานในอุตสาหกรรมอื่นๆในสหรัฐอเมริกา จากช่วงเวลาที่ผ่านมา Challenger ได้พูดถึง การลดลงของการจ้างงานถึง 15% หรือประมาน 14,000งาน ในอุตสหกรรมยานยนต์ ซึ่งการยกเลิกการจ้างงานสามารถประหยัดตังไปได้ถึง 6พันล้านดอลลาห์สหรัฐ Andrew Challenger รองประธานบริษัท เชื่อว่า จากข้อมูลได้แสดงถึง สถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ไม่สู้ดีนัก
“ในปี 2017 ได้มีการลดจำนวนงานลงเฉลี่ย 35,000 ตำแหน่ง และ 44,000 ตำแหน่งในปี 2016 และในปี 2018 ได้มีการลดจำนวนงานลงเฉลี่ย 45,000 ตำแหน่งต่อเดือน และในช่วง4เดือนหลัง การเลิกจ้างงานเพิ่มเป็น 55,000 ตำแหน่ง ทำให้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจได้เกิดการชะลอตัวลง ”
เมื่อเปรียบเทียบกับสถานการณ์การจ้างงานในวงการ cryptocurrency นับได้ว่า การลดลงของการจ้างงานในcryptocurrency น้อยมาก
ในปี 1993 การลดการจ้างงาน ของ IBM ซึ่งถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์ นั่นคือ 60,000 งาน และ Citigroup, Sears, Roebuck & Co, และ the U.S. Army ก็ได้ลดการจ้างงานถึง 50,000 ตำแหน่ง ในเหตุผลที่ต่างกันออกไป
มุมมอง
จากที่พูดถึงข้างต้น เราได้เห็นถึงความเหมือนกันของการเพิ่มขึ้นของธุรกิจเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต ในช่วงปี 1990 และ การเพิ่มขึ้นของ บริษํทเกี่ยวกับcryptocurrencyและblockchain ตั้งแต่ปี 2010 และสื่อกระแสหลักได้กล่าวถึงจุดดับของ bitcoin และ cryptocurrency หลายๆตัว ในหลายปีที่ผ่านมา
จากบทความใน the guardian ในเดือนธันวาคมปี 2000 ปีที่เกิดภาวะฟองสบู่แตก บริษัทเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต กว่า 130 กิจการ ได้ปิดตัวลง และนำไปสู่การลดจำนวนการจ้างงานลงถึง 8000 งาน ทั้งนี้บริษัทที่เหบือรอดก็กลายเป็นรากฐานที่แข็งแรงให้กับ cryptocurrency และ blockchain ในปัจจุบัน