fbpx

Blockchain คือสุดยอดเทคโนโลยี? องค์กรคุณพร้อมสำหรับการมี Blockchain หรือยัง

ยาวไปอยากเลือกอ่าน แสดง Blockchain คือสุดยอดเทคโนโลยี โดย Blockchain สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้หลายอย่าง, Bitcoin คือตัวเก็บมูลค่า, ICO คือฟองสบู่, Bitcoin คือของปลอม Blockchain คือของจริงๆแล้วเราจะเอา Blockchain มาทำอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้นบลาๆๆๆ การใช้ Blockchain Platform ปัญหาคอขวดของ Blockchain Decentralization หรือการกระจายตัว Scalability หรือ

Blockchain คือสุดยอดเทคโนโลยี? องค์กรคุณพร้อมสำหรับการมี Blockchain หรือยัง

7 Jul 2018

**บทความนี้เป็นบทความแปลเรียบเรียงใหม่รวมทั้งแทรกข้อมูลเพิ่มเติมจากบทความ “When is it Time to Build Your Own Blockchain?ของ Kirill Shilov บน Medium

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

Blockchain คือสุดยอดเทคโนโลยี โดย Blockchain สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้หลายอย่าง, Bitcoin คือตัวเก็บมูลค่า, ICO คือฟองสบู่, Bitcoin คือของปลอม Blockchain คือของจริงๆแล้วเราจะเอา Blockchain มาทำอย่างโน้นอย่างนี้อย่างนั้นบลาๆๆๆ

ประโยคที่กล่าวมาด้านบนคือสิ่งที่ผมได้ยินและพบเห็นมาตลอด 1 ปีที่ สภาพสิ่งที่ผมเจอมากมายคือกระแสของ Blockchain ที่ Hype ไปทั่วในช่วงปีที่ผ่านมาไม่ว่าจะ Cryptocurrency หรือ ICO ก็ตามในปีที่แล้วมีบริษัทสัญชาติอังกฤษที่นำคำว่า Blockchain มาใส่ในชื่อบริษัทและทำให้หุ้นของบริษัทนั้นพุ่งอย่างมากมาย นั้นทำให้ผมรู้สึกว่ามีใครบ้างที่เข้าใจ Blockchain มันจริงๆถึงข้อดีข้อเสียของมันซึ่งผมจะมาเล่าให้ฟัง

Decentralized applications (DApps) หรือ Application ที่ไม่ได้ทำงานด้วย Single Server เริ่มเป็นที่นิยมขึ้นเรื่อยเพราะมันสามารถแก้ปัญหาเรื่อง การสร้างความน่าเชื่อถือ ระบบการจ่ายเงิน การสร้างเงื่อนไขและที่สำคัญคือการแก้ปัญหา Single Point of Failure หรือระบบตัวกลางล้มเหลวเช่นเวลาระบบธนาคารล่มที่ผ่านมาในอดีตเราจะไม่สามารถใช้งานได้ และนั้นทำให้ Blockchain ที่เป็นเทคโนโลยี่เบื้องหลังเป็นได้รับความสนใจจาก Developer

 

โดยวิธีที่เป็นที่นิยมที่สุดคือการสร้าง DApps บน Blockchain ที่มีอยู่แล้วอย่าง Ethereum  ซึ่งก็มีแอปมากมายที่ถูกสร้างบน Ethereum เช่น เกม โซเชียลเนตเวิร์ค แอปรับส่งข้อความต่างๆ อย่างไรก็ตาม Blockchain ทุกๆตัวนั้นมีสิ่งที่ต้องแลกมา (Trade Off) ในเชิงเทคนิคอยู่ไม่ว่าจะปัญหาคอขวดและข้อจำกัดอีกมามาย และมันทำให้ DApp ทั้งหลายไม่สามารถทำงานด้วยข้อจำกัดเหล่านี้ได้ขึ้นอยู่กับ Blockchain ที่เราใช้งาน ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือ Bitcoin และ Ethereum ที่เป็นที่นิยมที่สุดก็ติดปัญหาในเรื่องธุรกรรมจำนวนมากและค่าธรรมเนียมที่มากเกินกว่าจะใช้งานได้จริงในหลายๆ Application  

หนึ่งในแนวทางแก้ไขปัญหาคือการสร้าง Blockchain เป็นของตัวเองหรือ Fork มาจาก Blockchain อื่นที่มีอยู่และมันฟังดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีแก้ที่ดีแต่มันก็มีข้อที่ควรจะระวังอยู่และนี่คือเหตุผลที่ App ต่างๆควรจะมี Blockchain ของตัวเอง

การใช้ Blockchain Platform

 

ตอนนี้ Ethereum นั้นเป็น Blockchain ที่มีมาตรฐานระดับ Goldstandard เพราะมันมีเงินจำนวนกว่าพันล้านดอลลาร์ที่ระดมทุน ICO ด้วย Ethereum ทำให้ Ethereum นั้นมี DApps จำนวนมากที่ทำงานอยู่และนั้นทำให้ Etheruem นั้นดูดีกว่า Blockchain/Smartplatform อื่นๆอยู่หลายช่วงตัว

โดยนี่คือข้อดีของการใช้งาน Ethereum Blockchain

  • มีเงินดิจิทัลเป็นของตัวเอง (Ether)
  • มีเครือข่ายระดับโลก
  • มีความเป็น Decentralized ที่สูงมาก
  • มีการอัพเดทโค้ดอยู่บ่อยๆ
  • มีข้อมูลและเอกสารมากมายที่ Developer สามารถเข้าถึงได้

แน่นอนว่าผมคิดว่าคุณก็คงเคยได้ยิน Blockchain อื่นๆ เช่น Stellar, NEO. Stratis, EOS และอื่นๆอีกมากมายแต่เทคโนโลยีของมันก็มีความแตกต่างกันไปเช่นกัน

ปัญหาคอขวดของ Blockchain

Blockchain เป็นระบบที่ถูกสร้างเป็น Protocol และนั้นหมายความว่าประสิทธิภาพในด้านต่างๆของมันจะต้องมีสิ่งที่แลกเปลี่ยน (Trade Off) เสมอๆ เช่น Application ที่ทำงานบน Blockchain นั้นจะมีประสิทธิภาพไม่เท่ากับ Application ที่ทำงานแบบ Centralized หรือ Single Server ในปัจจุบันนี้โลกเรายังไม่มี Blockchain ใดๆที่จะสามารถสร้าง Application ที่มีขนาดระดับเดียวกับ Facebook เพราะว่าความเร็วคือสิ่งที่ต้องแลกกับระบบ Decentralized ในปัจจุบัน Facebook เป็นระบบ Centralized ที่ Facebook สามารถควบคุมทุกอย่างได้และนั้นแปลว่าระบบของ Facebook จะเร็วมากแต่ว่าผู้ใช้งานจะไม่สามารถควบคุมอะไรได้เลย คุณอาจจะโดน Facebook แบนบัญชีเมื่อไหร่ก็ได้ ลดยอด Reach ของ Page คุณหรือแม้แต่แบนโฆษณาของคุณก็ทำได้เช่นกัน

ทีนี้กลับมาดูที่ระบบ Decentralized ระบบนี้จะทำให้ผู้ใช้งานสามารถลงความเห็นว่าระบบควรทำงานยังไง วิธีการในการยอมรับร่วมกัน (Consensus) นั้นจะต้องถูกยอมรับแต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นการสร้างระบบที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์จำนวนมากยังไงก็ต้องมีต้นทุนที่มากกว่าระบบที่ทำงานด้วยคอมพิวเตอร์ตัวเดียวและเป็นระบบที่ช้ากว่าอีกด้วย แต่ในบางระบบแล้วเเม้จะแพงและช้าแต่ถ้ามันสามารถตัดคนกลางออกไปได้มันก็คุ้มค่ามากอย่างที่เราเห็นในกรณี Bitcoin ที่เป็นระบบการเงินที่ไม่สามารถถูกล้มล้างได้

นั้นหมายความว่าในการสร้างระบบที่เป็น Decentralized นั้นพัฒนาจะต้องเจอกับปัญหา Trade off ในเรื่อง

  • Decentralization หรือการกระจายตัว
  • Scalability การขยายระบบเช่นจำนวนธุรกรรมที่สามารถประมวลได้
  • Security ความปลอดภัย

 

Decentralization หรือการกระจายตัว

สิ่งที่ทำให้ Blockchain น่าสนใจคือการกระจายอำนาจหรือ Decentralized ในปัจจุบันเรามีระบบการจ่ายเงินระดับโลกที่หลากหลาย อย่างเช่น Visa หรือ Alipay แต่ว่าระบบเหล่านั้นเป็นระบบรวมอำนาจหรือ Centralized แบบ 100% นั้นหมายความว่ามันเป็นระบบตัวกลางที่จะควบคุมทุกอย่าง ไม่โปร่งใส และอาจจะเกิดปัญหาตัวกลางล้มเหลวได้

ในความเป็นจริงแล้วไม่มีระบบใดที่เป็น Decentralized อย่างสมบูรณ์แบบแต่ Blockchain นั้นก็เป็นเทคโนโลยีที่มีความเป็น Decentralized มากกว่าระบบก่อน ๆ  ตัวอย่างเช่น Ethereum นั้นมุ่งเป็นที่ความเป็น Decentralized แม้จะมีการถกเถียงกันบ่อยๆว่ามันต้อง Decentralized ขนาดไหน การที่จะมีความเป็น Decentralized ถึงระดับหนึ่งนั้นสำคัญมากสำหรับ Blockchain แต่แน่นอนว่ามันก็มีต้นทุนเสมอ

 

Scalability หรือความสามารถในการขยายระบบ

Scalability คือหมายถึงว่าระบบจะสามารถขยายจำนวนผู้ใช้งานมากแค่ไหนโดยที่ประสิทธิภาพในด้านต่างๆยังเท่าเดิมโดยสามารถดูได้จาก

  • Confirmation time หรือเวลาในการยืนยันธุรกรรม
  • Transaction volume ปริมาณธุรกรรม
  • Transaction cost ต้นทุนของธุรกรรม

Confirmation time คือเวลาที่ระบบใช้ในการรับส่งธุรกรรมไปทั่งเนตเวิร์คการส่ง Bitcoin ให้เพื่อนนั้นกินเวลา 10 นาทีในขณะที่ใน Ethereum การสั่งให้ Smartcontract ทำงานใช้เวลาอยู่ที่ 10-20 วินาทีซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมื่อเทียบกับระบบ Visa ธุรกรรมจะถูกส่งในเวลาไม่กี่วินาทีเท่านั้น

Transaction volume คือปริมาณธุรกรรมที่ระบบสามารถทำได้ต่อวินาทีโดย Bitcoin ทำได้อยู่ที่ 7 ธุรกรรมต่อวินาทีและ Ethereum ทำได้ที่ 20 ธุรกรรมในขณะที่ Visa ทำได้ 65,000 ธุรกรรมต่อวินาที

Transaction cost คือต้นทุนในการทำธุรกรรมที่ผู้ใช้งานใช้ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละ Blockchain แต่ใน Blockchain ที่เป็นที่นิยมมันอาจจะมีต้มทุนที่พุ่งเหมือนจรวดได้เช่นในเดือนธันวาคม 2017 เราจะเห็นค่าธรรมเนียมของ Bitcoin พุ่งขึ้นสูงถึง 20$ เลยทีเดียวและสำหรับ Ethereum เกม Cryptokitties ก็ทำให้ค่าธรรมเนียมของ Ethereum พุ่งขึ้นจากการใช้งานจำนวนมากของผู้ใช้งาน

 

Security ความปลอดภัย

ความปลอดภัยของระบบ Blockchain นั้นหมายถึงความยากหรือต้นทุนในการแก้ไขรหัสที่จะสามารถทำให้ระบบล่มได้ ซึ่งระบบที่มีความปลอดภัยมากจะใช้เวลาที่มากในการยืนยันธุรกรรมอย่าง Blockchain ของ Bitcoin

 

Trading Off สิ่งที่ต้องแลกเปลี่ยน

เพราะฉะนั้นแล้วแนวคิดของการสร้างระบบ Blockchain นั้นไม่มีทางที่เราจะเพิ่มประสิทธิภาพด้านใดด้านหนึ่งโดยไม่สูญเสียอย่างใดอย่างหนึ่งเลย มันไม่มีคอนเซปที่จะแก้ไขปัญหาได้พร้อมๆกัน ถ้าคุณอยากได้แพลทฟอร์มที่ เร็ว ถูก มีความปลอดภัยแน่นอนมันจะเสียความเป็น Decentralized กลับกับถ้าคุณต้องการแพลทฟอร์มีที่มีความเป็น Decentralized มากๆ และมีความปลอดภัยระดับสุดยอด มันจะช้าและแพงขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนผู้ใช้งานอย่างที่เราเห็นได้จาก Blockchain ของ Bitcoin

แต่อย่างไรก็ตาม Blockchain แต่ละชนิดต่างก็มีจุดดีที่ไม่เหมือนกันในด้านต่างๆ

  • Bitcoin นั้นมีความปลอดภัยสูงมากแต่ก็และมาด้วย Block time ที่เชื่องช้ามาก
  • Ethereum นั้นมีความเป็น Decentralized สูงมากแต่แต่ก็ใช้ต้นทุนในการขยายระบบที่สูงแลกมา
  • Ripple EOS NEO นั้นสามารถขยายระบบได้ดีแต่ก็แลกมาด้วยการสูญเสียความเป็น Decentralized

ซึ่งแน่นอน Blockchain แบบไหนจะเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบต่างๆมันก็ขึ้นกับผู้ใช้งานที่จะคิด บางครั้งก็มีผู้คนคิดว่าระบบ Mining Pool ใน Bitcoin และ Ethereum นั้นสร้างความเป็น Centralized ให้กับระบบและทำให้มีเทคโนโลยีอีกมากมายที่คิดแก้ปัญหาพวกนี้เช่น Proof of stake แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วเพื่อให้ใช้งานได้ในแต่ละระบบก็ต้องมีจุดที่ต้องเสียสละ

เพราะฉะนั้นคุณจะเลือกใช้ Blockchain แบบไหนก็ต้องคิดให้ดีว่า Application ของคุณนั้นจะอยู่บนระบบที่มีความ Decentralized , Scalability, Security ดีแค่ไหนและจุดไหนที่คุณจะสามารถเสียสละได้

 

 

ถ้าสิ่งที่ต้องการมันไม่เหมาะหละจะทำยังไง?

Ethereum เป็นแพลทฟอร์มที่ยอดเยี่ยมสำหรับการสร้าง DApps เพราะเราสามารถเขียนโปรแกรมรูปแบบใดๆก็ตามลงไปได้แต่อย่าลืมว่าถ้า Application ของคุณต้องมีการทำธุรกรรมมากกว่า 20 ธุรกรรมต่อวินาที ความเร็วของระบบ Ethereum นั้นไม่เพียงพอแน่นอน และปัญหาต่อไปคือค่าธรรมเนียมของธุรกรรมเช่นถ้าคุณจะสร้างระบบ Social network มันคงจะเป็นปัญหามากถ้าคุณจะต้องจ่ายเงิน 1$ เพียงแค่คุณจะตั้งสเตตัสและนั้นเป็นเหตุผลว่าทำไม SteemIT ที่เป็นแพลทฟอร์มโซเชียลเนตเวิร์คบน Blockchain ถึงเลือกใช้ระบบ Delegated Proof of stake ที่มีความเป็น Centralized

และแน่นอนที่สุดว่า Blockchain อื่นๆอย่าง  Stellar, IOTA, Ripple, EOS, NEM, NEO และอื่นๆอีกนั้นต่างมีสิ่งที่เสียไปเช่นกัน บางตัวก็มีความ Centralized เช่น Ripple บางส่วนก็มีข้อจำกัดในการพัฒนาเช่น Stellar ที่มีต้นทุนธุรกรรมที่ถูกมากแต่ก็มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถสร้าง Smart contract ที่ซับซ้อนได้หรือ NEM ที่สามารถสร้าง Smart Contract ที่ซับซ้อนขึ้นได้และมีต้นทุนที่แพงกว่า Stellar ซักเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้สามารถสร้างอะไรที่ซับซ้อนเท่า Ethereum ได้

เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะสร้าง DApp ขึ้นมาบน Blockchain ที่มีอยู่เหล่านี้สิ่งที่คุณควรจะคำนึงที่สุดคือ “ ความเหมาะสมของระบบที่คุณต้องการ” คุณต้องคิดให้ดีว่าคุณต้องการอะไรกันแน่ ถ้า Blockchain ทั้งหมดนี้ไม่ตรงกับความต้องการของคุณเลย มันก็คงเหลืออยู่ทางเดียวนั้นก็คือ

สร้างระบบ Blockchain ของตัวเอง

ถ้าคุณสร้างระบบ Blockchain ของตัวเองนี่คือสิ่งที่คุณจะได้

  • คุณสามารถปรับแต่ง security, scalability, decentralization ได้ตามใจคุณ
  • เลือกภาษที่จะเขียนได้เอง
  • ควบคุมโค้ดเองได้
  • แก้ไขทุกอย่างได้ตามที่คุณต้องการ
  • มีความยืดหยุ่นสูงมาก

มันฟังดูยากเพราะว่าเราจะต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่และ Blockchain เป็นเทคโนโลยีที่เพิ่งเกิดมา 10 ปีและเพิ่งมาบูมเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมาต้นทุนของ Developer ที่มีความรู้ด้าน Blockchain ก็ไม่ใช่ถูกๆซะด้วยแต่ว่าโชคดีว่า Developer นั้นไม่ต้องเริ่มทุกอย่างจาก 0 ซะเลยทีเดียว

Fork จาก Blockchain ที่มีอยู่เเล่ว

 

ระบบ Blockchain ส่วนใหญ่นั้นเป็นรูปแบบ Open Source นั้นหมายความว่าคุณสามารถเอามันมาใช้งานคัดลอกและแก้ไขได้โดยไม่ต้องเสียค่าลิขสิทธิ์ให้ใครและนั้นเป็นเหตุผลที่ Bitcoin Cash และ Ethereum Classic กำเนิดขึ้นจากการที่มี Developer ตัดสินใจที่จะแยกระบบของ Blockchain ออกมาเป็นอีกระบบหนึ่งแล้วสร้างในแบบของตัวเอง

มันมีข้อแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ เหมือนเช่นเคย (Blockchain นี้ไม่ได้ดีเลิศสมบูรณ์แบบไปซะทุกอย่างเลยนะครับมันมี Trade off เยอะมาก) การเขียนโปรแกรมอาจจะยากเพราะข้อมูลต่างๆอาจจะไม่ได้เอื้อให้ Developer พัฒนาง่ายๆเพราะเมื่อเทียบกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้ข้อมูลมันก็ไม่ได้เยอะขนาดนั้น แต่สิ่งที่ยากกว่าคือการทำให้ผู้ใช้งานยอมรับในระบบ ยิ่งในระบบที่เป็น Public Blockchain เช่น Bitcoin ที่ต้องใช้เวลามหาศาลกว่าจะมีฐานผู้ใช้งานที่แข็งแกร่งและยอมรับในตัวมัน ต่อให้คุณสร้างระบบ Blockchain ที่มีความเป็น Decentralized และโค้ดที่สมบูรณ์แบบได้สำเร็จแต่ถ้าไม่มี Miner มากเพียงพอในระบบของคุณก็เท่ากับว่าระบบของคุณไม่มีความปลอดภัยหรอกครับแถมคุณจะต้องดูแลระบบด้วยตัวเองอีกต่างหาก

นี้เป็นเหตุผลที่ในยุคหลัง ๆ ไม่มีเงินดิจิทัลที่สร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Store of value หรือ Currency เลยเหตุผลก็เพราะว่าการจะสร้างระบบที่ดีปลอดภัยและมีคนยอมรับมันไม่ได้ทำได้ง่ายๆขนาด Bitcoin ยังต้องใช้เวลาที่นานมากเงินดิจิทัลในปัจจุบันจึงเน้นไปที่การสร้างมูลค่าจากประโยชน์ใช้สอย (Utility) ของเงินดิจิทัลสกุลนั้นๆ

 

 

ตัวอย่างของ Project ที่สร้าง Blockchain ของตัวเอง

 

Howdoo

Howdoo เป็น Decentralized soicial influencer platform ที่มอบอำนาจในการควรคุมโซเวียลมีเดียคืนแก่ผู้ใช้งาน (ตรงข้ามกับเฟสบุ้คทุกวันนี้เพจ Blockchain Review ไม่สามารถยิง Ads ใดๆแม้จะเป็น Ads ที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ICO ก็ตาม เพราะ Facebook ห้าม ) เเพลทฟอร์มนี้สร้างระบบด้วย Blockchain ตัวเองโดยมี feature ดังนี้

  • ระบบจ่ายเงินด้วย Cryptocurrency
  • ผู้ใช้งานสามารถควบคุมข้อมูลของตัวเองได้
  • ผู้ใช้งานสามารถเบือกที่จะดู Ad และได้เงินจากการดู Ad (แนวคิดคล้ายๆ Basic attention Token ที่ใช้ Brave Browser)
  • มีการจ่ายเงินให้กับผู้สร้างคอนเท้น (คล้ายๆ SteemIT)
  • คอนเท้นถูกดูแลโดยผู้ใช้งาน

การสร้าง Social Network นั้นต้องใช้ระบบ Infrastructure ที่มากและคงจะมี Request จากผู้ใช้งานปริมาณกว่าล้านคนที่จะส่ง Request เป็นโหลต่อวันมันเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับ Ethereum ลองคิดดูว่าถ้าคุณต้องจ่ายเงินเพื่อที่จะตั้งสเตตัสหรืออัพโลหด Video จะเป็นอย่างไร คงไม่มีผู้ใช้งานคนไหนอยากใช้งานะบบนี้ Howdoo นั้นมีระบบ Steaming ส่งข้อความและการเก็บข้อมูล Howdoo ตอนนี้ทำงานบน Ethereum Blockchain แต่มีแผนที่จะสร้าง Blockchain เป็นของตัวเองเพื่อให้สอดคล้องกับระบบ

  • สร้างระบบ Decentralized Steaming (คิดไปแล้วน่าจะไม่ Decentralized มากเท่าไหร่)
  • เก็บข้อมูลแบบกระจาย IPFS
  • สร้างระบบ Blockchain ของตัวเองที่มี Howdoo token

พวกเขาต้องการสร้างระบบที่อนุญาติให้ Partner สามารถสร้าง DApps และสร้าง Token ของตัวเองได้โดยสร้างอยู่บน Social layer (แนวคิดคล้าย Steem มาก) ซึ่งมันจะแก้ปัญหาของ Ethereum ได้ด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำ DApp แรกที่เข้าร่วมกับระบบนี้คือ Drophead Games

 

Kin

Kin เป็นเงินดิจิทัลของแพลทฟอร์ม Kik แอปฟลิเคชั่นส่งข้อความคล้าย Line ที่มุ่งเป้าไปที่ความเป็นส่วนตัวที่ได้รับความนิยมสูงมากในหมู่วัยรุ่นไปจนถึงวัยกลางคน Kik ได้มีประสบการณ์สร้างเงินดิจิทัลที่ชื่อว่า Kik Point ซึ่งมันเป็นไปได้ด้วยดี Kik จึงคิดจะสร้างเงินดิจิทัลที่สามารถใช้ได้ทั้งใน Application และนอก Applicatiopn

โปรเจคต์นี้เริ่มต้นจากการใช้ ERC-20 ของ Ethereum ในการระดมทุน ICO ในเดือนกันยายนและได้เงินไปถึง 50 ล้านดอลลาร์

ก่อนหน้านี้ระบบ Kik point มรปริมาณธุรกรรมถึง 300,000 ธุรกรรมต่อวันซึงนั้นทำให้ Ethereum ไม่สามารถรองรับระบบนี้ได้

Kik จึงมองหาวิธีแก้ไขที่ดีกว่าซึ่งในตอนแรกพวกเขาได้ลองใช้ Blockchain ของ Stellar เขามาร่วมทำงานกับ Ethereum เพื่อให้สามารถขยายระบบได้แต่อย่างไรก็ตามการใช้ Stellar ก็มีต้นทุนธุรกรรมเช่นกันแม้จะน้อยมาก (ประมาณ 0.0007 สตางค์ต่อธุรกรรม) เพื่อให้ต้นทุนการทำธุรกรรมเป็น 0 Kik จึงตัดสินใจ Fork Blockchain ของ Stellar และมาปรับแต่งเป็นของตัวเอง

Second Layer Plasma & Lightning Network

ด้วยปัญหาคอขวดใน Ethereum และ Bitcoin ทำให้ทั้งคู่มีแนวคิดที่จะสร้าง Layer แยกออกมาจาก Blockchain หลักเป็น Layer ย่อยๆที่สามารถทำธุรกรรมได้อย่างรวดเร็วและไม่มีค่าธรรมเนียม โดยชื่อของมันคือ Plasma สำหรับ Ethereum และ Lighting Network ของ Bitcoin ซึ่งมันถูกมองว่าเป็นทางออกของ Bitcoin และ DApps ทั้งหลายที่ไม่สามารถใช้งานได้จริงบน Ethereum แต่อย่างไรก็ตามการเปิด Layer ย่อยๆนี้ก็ไม่ต่างกับการสร้าง Centralized layer ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่งซึ่งความปลอดภัยนั้นมันเทียบไม่ได้กับ Blockchain หลัก (เห็นมั้ยปัญหาเดิม Trade off เร็วขึ้นก็จริงเเต่เป็น Centralized)

หนึ่งในวิธีแก้ปัญหาของ Lightning Network คือการสร้างระบบที่ชื่อว่า Atomic Swap ที่จะสามารถทำธุรกรรมในระกับ Microtransaction ได้และถูกมองว่ามันจะลดความเสี่ยงลงเพราะหากเกิดความผิดพลาดใน Layer ก็อาจจะเป็นเพียงธุรกรรมที่จำนวนน้อยมากๆ แต่อย่างไรก็ตาม Lighting Network นั้นยังไม่เปิดใช้อย่างสมบูรณ์และยังเกิดปัญหากับ Developer เพราะว่า Protocal ที่ใช้ใน Bitcoin นั้นเป็นภาษาที่ไม่สามารถเขียนคำสั่งซับซ้อนได้จึงยากต่อการพัฒนา ส่วน Plasma ของ Ethereum นั้นก็ยังพัฒนาไม่สำเร็จ

บทสรุป & ความเห็นส่วนตัว

DApp ได้รับความนิยมมากในช่วงที่ผ่านมา blockchain อย่าง Ethereum ได้สร้างแพลทฟอร์มที่มี Dapp มากมายและมีฟังชั่นหลากหลายที่ง่ายต่อการใช้งานแต่อย่างไรก็ตาม Trade off ของมันไม่ได้เหมาะสมกับทุก Application ที่แต่ละคนต้องการมี DApps มากมายที่ไม่สามารถเเข้ากันได้กับ Platform ใดๆเลยเช่น Howdoo หรือ Kin การสร้าง Blockchain ของตัวเองจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่สามารถแก้ไขได้

สิ่งที่ผู้เขียนอยากให้ผู้อ่านทราบไว้คือ Blockchain มันไม่ใช่เทคโนโลยีที่แก้ไขปัญหาทุกอย่างได้ มันต้องมีความเหมาะสมในการใช้งานถึงจะดึงประสิทธิภาพได้สูงสุด ในปัจจุบันเรามี DApps และ ICO บน Ethereum จำนวนมากมายแต่สุดท้ายตัวที่ใช้งานได้จริงกลับมีน้อยมากๆ มูลค่าที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมันคือมูลค่าที่คนคิดว่ามันจะเป็น มันคล้ายหุ้นที่ยังไม่มีการปันผลว่าสุดท้ายมันควรมีมูลค่าเท่าไหร่ และนี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น ผู้เขียนอยากให้คนที่คิดจะใช้ Blockchain ไปใช้งานคิดให้ถี่ถ้วนว่าคุณได้ประโยชน์จากมันจริงๆและเหมาะสมหรือเปล่า

Article
Writer

Maybe You Like

Recent Post