จากสถิติของ Statista จะเห็นว่า มีกองทุนที่เห็นโอกาสเข้ามาลงทุนในบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain จำนวนมาก เพราะปัจจุบัน Blockchain เป็นเพียงนวัตกรรมเดียวที่มีความน่าเชื่อถือ แต่ในอนาคตอาจจมีนวัตกรรมอื่นมาแข่ง หรืออาจมีนวัตกรรมที่ดีกว่ามาทดแทน โดยปี2018 ถือเป็นปีที่โลกคริปโตตกต่ำ กลับกันโลกแห่งการเก็งกำไรกลับปรับตัวสูงขึ้นถึง4เท่า มีเงินทุน4พันล้านไหลเข้ามาสู่บริษัทที่ทำนวัตกรรมด้านนี้ ซึ่งมากกว่าปี2017ถึง4เท่า กองทุนเหล่านี้ไม่ได้ลงทุนซื้อเหรียญ กองทุนที่ลงทุนในเหรียญก็มีแต่เป็นเม็ดเงินอื่นส่วน หรืออีกกองทุนนึง แต่กองทุนเหล่านี้จะซื้อหุ้นบริษัทที่ทำนวัตกรรมเหล่านั้น
ในอดีตการเติบโตของนวัตกรรมบล็อกเชนยังเป็นเรื่องเข้าใจยาก และคนส่วนมากยังไม่ได้ตระหนัก ดังนั้นผลกระทบ หรือ Impact ที่มีต่อวงการธุรกิจและรัฐบาลก็ยังน้อย แต่เมื่อวันนึงวงการธุรกิจและรัฐบาลต่างเริ่มตระหนักได้ว่า นวัตกรรมนี้ อาจเข้ามาทดแทนหลายสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น ก็เริ่มเข้ามาลงทุนในบริษัทเหล่านี้มากขึ้น จะเห็นว่ายอดการลงทุนในบริษัทบล็อกเชนเติบโตจากความเป็นไปได้ที่นวัตกรรมจะเข้ามาทดแทนบางสิ่งเดิมๆ ไม่ได้สอดคล้องกับการเติบโตของราคา Bitcoin หรือราคา Cryptocurrency แต่อย่างใด เพราะช่วงปลายปี2013-ต้นปี2014 และปลายปี2017 ที่ราคาเหรียญพุ่งเป็นจรวด กลับไม่ได้ดึงดูดเงินทุนเข้ามาสู่บริษัทบล็อกเชนเลย
ปี2019นี้ บล็อกเชนสำหรับธุรกิจและองค์กรจะถูกจับตาเป็นพิเศษ และมีบทบาทมากขึ้นกว่าเดิมมาก ผมชอบคำพูดของ Vitalik ว่า บล็อกเชนมีศักยภาพมากกว่าการเก็งกำไรหรือสิ่งเงิน ทำให้ Vitalik สร้าง Smart Contract ขึ้นมาเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต ในวงการโปรแกรมเมอร์ไทย หลายก็บอกว่า ทำไมต้องสร้างเหรียญเก็งกำไร ศักยภาพของมันสร้างอย่างอื่นได้หลายอย่าง และมูลค่าควรเกิดจากพวกนั้น และนี่คงเป็นเหตุผลที่กองทุนบางส่วนเลือกลงทุนในบริษัทนวัตกรรมมากกว่าการลงทุนในคริปโคเคอเรนซี่