คำนำ
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!โดย นัซซิม นิโคลัส ฏอลิบ
เรามาลองเรียบเรียงตรรกะและเรื่องราวต่างๆ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น หรือ ไม่สิ ตั้งแต่จุดสุดท้ายกันดีกว่า: ในยุคสมัยปัจจุบัณ ขณะที่ผมกำลังเขียนบรรทัดเหล่านี้ พวกเรากำลังได้เห็นถึงการลุกฮือขึ้นต่อต้านผู้เชี่ยวชาญบางกลุ่ม ในแขนงของความรู้ที่ยากเกินกว่าที่เราจะเข้าใจเช่น ความเป็นจริงทางเศรษฐศาสตร์เชิงมหภาค ที่แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาเองก็ไม่ได้เชี่ยวชาญอะไรเลย กว่าพวกเราจะรู้ว่า ทั้ง Greenspan และ Bernanke อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ไม่ได้มีความเข้าใจถึงความเป็นจริงเชิงประจักษ์ มันก็สายเกินไปเสียแล้ว คนเราสามารถโกหกหลอกลวงในระดับมหภาค ได้นานกว่าในระดับตุลภาค จึงเป็นเหตุสำคัญว่าเหตุใดเราต้องใช้ความระมัดระวังก่อนที่จะมอบอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจระดับมหภาคไว้ที่ใครสักคน
สิ่งที่แย่ไปกว่านั้น คือ ธนาคารกลางทุกแห่งดำเนินงานภายใต้รูปแบบการทำงานเดียวกัน ส่งผลให้เกิดระบบการทำงานเชิงเดียวโดยสมบูรณ์ (Monoculture)
ในโลกที่มีความซับซ้อน ความเชี่ยวชาญจะไม่กระจุกตัว เนื่องจากในโลกของความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ สิ่งต่าง ๆ ทำงานในลักษณะแพร่กระจาย (distributed) ดังที่ F.A Hayek ได้แสดงให้เห็นไว้อย่างชัดเจน แต่ Hayek กล่าวถึงการแพร่กระขายของความรู้ ซึ่งแท้จริงแล้ว ดูเหมือนว่า ‘ความรู้’ ก็อาจไม่ใช่สิ่งจำเป็นในการที่จะทำให้อะไรๆสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เราไม่ต้องการแม้กระทั้งผู้คนที่มีเหตุผล หากแต่สิ่งเดียวที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปได้อย่างราบรื่นคือโครงสร้างนั่นเอง
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะมีส่วนร่วมเชิงประชาธิปไตยในการตัดสินใจต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน คนที่มีแรงผลักดันอันแรงกล้ากว่าคนอื่นๆเพียงคนเดียว สามารถที่จะทำให้การตัดสินใจของสังคมเบี่ยงเบนไปทางใดทางหนึ่งได้ (ตามที่ผมได้เคยศึกษาไว้ในหัวข้อของความอสมมารตของอำนาจเสียงส่วนน้อย) แ่ต่ทุกคนในสังคมก็มีทางเลือกที่จะเป็นคนคนนั้นได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อตลาดขยายตัวขึ้น สิ่งมหัศจรรย์สิ่งหนึ่งกลับปรากฎขึ้น นั่นคือ ตลาดที่สมเหตุสมผล ไม่จำเป็นที่จะต้องประกอบด้วยผู้ประกอบการที่มีเหตุผล แท้จริงแล้ว ตลาดทำงานสามารถทำงานได้ดีภายใต้สภาวะที่ไร้ซึ่งปัญญา ภายใต้ระบบที่เหมาะสม กลุ่มคนที่ไร้ปัญญาใดๆ กลับสามารถทำงานได้ดีกว่าการจัดการรูปแบบสหภาพโซเวียตที่ประกอบไปด้วยมนุษย์ที่อุดมซึ่งปัญญาจำนวนมากเสียอีก
Which is why Bitcoin is an excellent idea. It fulfills the needs of the complex system, not because it is a cryptocurrency, but precisely because it has no owner, no authority that can decide on its fate. It is owned by the crowd, its users. And it now has a track record of several years, enough for it to be an animal in its own right.
การที่คริปโตเคอเรนซี่อื่นๆ จะสามารถแข่งขันกับบิตคอยน์ได้นั้น พวกมันจำเป็นที่จะต้องมึคุณสมบัติตามที่ Hayek ได้กล่าวไว้ข้างต้น
บิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ไม่มีรัฐบาล ถึงจุดนี้อาจทีคนถามว่า ทองคำ เงิน และโลหะต่างๆ ที่เราเคยมีก็เป็นเงินที่ไม่มีรัฐบาลเช่นกันมิใช่หรือ? คำตอบคือ ไม่เชิง เพราะเมื่อคุณต้องการซื้อทองคำ คุณอาจซื้อกองทุน “loco” ที่ฮ่องกง และได้รับหุ้นจำนวนหนึ่ง ซึ่งคุณอาจต้องการที่จะย้ายมันไปที่นิว เจอร์ซี่ย์ แต่ธนาคารก็เป็นผู้ควบคุมการรับฝากสินทรัพย์ และรัฐบาล ก็ควบคุมธนาคารอยู่เบื้องหลังเสมอ (หรือ มองอีกอย่างคือ ถ้าจะให้กล่าวอย่างสุภาพ นายธนาคาร และ เจ้าหน้าที่รัฐนั้นมีความ “ใกล้ชิด” กันนั่นเอง) บิตคอยน์จึงได้เปรียบทองคำอย่างมากในแง่ของการทำธุรกรรม การส่งบิตคอยน์ไม่ตำเป็นต้องกระทำผ่านตัวกลางใด และ ไม่มีรัฐบาลหน้าไหนจะควบคุมรหัสที่อยู่ในหัวคุณได้
ท้ายที่สุดแล้ว บิตคอยน์จะต้องก้าวผ่านอุปสรรคอีกมากมาย มันอาจพลาดพลั้ง และ ล้มเหลว แต่มันก็สามารถถูกประดิษฐ์ขึ้นใหม่ได้อย่างไม่ยากนักเนื่องจากเรารู้แล้วว่ามันทำงานอย่างไร ในปัจจุบัณ การทำธุรกรรมผ่านบิตคอยน์อาจยังไม่สะดวกเพียงพอที่คุณจะใช้มันซื้อเอสเปรสโซ่ดีแคฟฯ ในร้านกาแฟเครือที่ชอบแสดงสัญญาณว่าเป็นผู้มีคุณธรรมแถวบ้านคุณได้ มันอาจมีความผันผวนเกินกว่าที่จะเป็นสกุลเงินในตอนนี้ แต่อย่างไร มันก็เป็นสกุลเงินที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติสกุลแรก
แต่เพียงการมีอยู่ของบิตคอยน์นั้น เป็นสิ่งที่จะเตือนให้รัฐบาลทั้งหลายได้ตระหนักว่า สิ่งสุดท้ายที่สถาบัณรัฐฯสามารถควบคุมได้ ซึ่งก็คือเงิน นั้นไม่ได้ถูกผูกขาดการควบคุมโดยพวกเขาอีกต่อไป สำหรับพวกเรา เหล่ามวลชน สิ่งนี้คือหลักประกันต่อความเสี่ยงของอนาคตในรูปแบบออร์เวลเลี่ยนนั่นเอง
นัซซิม นิโคลัส ฏอลิบ
22 มกราคม 2561
บทนำ
ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน ปีค.ศ. 2008 โปรแกรมเมอร์ที่ใช้นามแฝงว่า ซาโตชิ นาคาโมโตะ (Satoshi Nakamoto) ได้ส่งอีเมลเข้าไปยังกลุ่มรายชื่ออีเมลเกี่ยวกับการเข้ารหัสเพื่อที่จะประกาศว่า เขาได้สร้าง “ระบบเงินสดอิเล็คโทรนิคแบบใหม่ ที่มีลักษณะ บุคคล-ถึง-บุคคล (peer-to-peer) โดยสมบูรณ์ โดยไม่มีตัวกลางที่เชื่อถือได้”1 เขาได้คัดลอกบทคัดย่อของเอกสารของเขาที่ได้กล่าวถึงแนวทางการออกแบบ พร้อมทั้งแนบลิงค์เชื่อมต่อไปยังเอกสารฉบับเต็มออนไลน์ลงในอีเมลดังกล่าว โดยหลักการณ์แล้ว บิตคอยน์คือเครือข่ายการชำระเงิน ที่มีสกุลเงินเป็นของตนเอง และสมาชิกจะสามารถใช้วิธีการที่ซับซ้อนในการตรวจสอบยืนยันความถูกต้องของธุรกรรมทั้งหมด ได้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องมอบความเชื่อใจให้แก่ใครในเครือข่ายเลยแม้แต่น้อย ตัวเงินนี้จะถูกผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นรางวัลตอบแทนสมาชิกที่สละกำลังการประมวลผลของตนเพื่อตรวจสอบธุรกรรมต่างๆ แต่สิ่งที่น่าตกใจ และ ทำให้สิ่งประดิษฐ์นี้แตกต่างจากความพยายามในการสร้างเงินสดดิจิทัลที่ผ่านมาคือ มันกลับสามารถใช้งานได้จริง
แม้มันจะเป็นผลการออกแบบที่ประณีตและชาญฉลาด แต่ก็ไม่มีอะไรบ่งบอกว่า การทดลองเพี้ยนๆนี้ จะสามารถเป็นที่สนใจของผู้คนภายนอกกลุ่มผู้คลั่งใคล้ศาสตร์การเข้ารหัสไปได้ และมันก็เป็นเช่นนั้นอยู่หลายเดือน มีผู้ใช้งานเพียงไม่กี่หยิบมือจากทั่วโลกเท่านั้นที่เข้ามาร่วมกันขุด และ ส่งเหรียญที่กำลังเริ่มมีสถานะเหมือนสิ่งสะสมกันไปมา แม้ว่ามันจะอยู่ในรูปดิจิทัลก็ตาม
แต่ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ. 2009 ตลาดแลกเปลี่ยนบนอินเตอร์เน็ตแห่งหนึ่ง2 ได้ขายบิตคอยน์จำนวน 5,050 บิตคอยน์ แลกกับเงิน $5.02 เหรียญสหรัฐฯ ที่ราคา $1 ดอลล่าร์ต่อ 1,006 บิตคอยน์2 เพื่อเป็นการบันทึกการซื้อบิตคอยน์ด้วยเงินเป็นครั้งแรก ราคาที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนในครั้งนั้นคำนวณมาจากมูลค่าของค่าไฟที่ใช้ในการผลิตบิตคอยน์จำนวนหนึ่งบิตคอยน์ หากมองในแง่เศรษฐศาสตร์แล้ว ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดในชีวิตบิตคอยน์ บิตคอยน์ไม่ได้เป็นเพียงเกมที่เล่นกันในหมู่โปรแกรมเมอร์กลุ่มเล็กๆอีกต่อไป แต่มันได้กลายเป็นสินค้าที่มีราคาในตลาด ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่า มีใครบางคน ในบางสถานที่ กำลังเห็นค่าของมัน ในวันที่ 22 พฤษภาคม 2010 มีคนอีกคนใช้บิตคอยน์จำนวน 10,000 บิตคอยน์ในการซื้อพิซซ่าจำนวนสองถาดในมูลค่า $25 เหรียญสหรัฐฯ นับเป็นครั้งแรกที่บิตคอยน์ถูกใช้เป็นสือกลางในการแลกเปลี่ยน เห็นได้ว่า บิตคอยน์ใช้เวลาถึงเจ็ดเดือน ในการเปลี่ยนสถาณะจากการเป็นสินค้าในตลาด มาเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยน
ตั้งแต่นั้นมา เครือข่ายของบิตคอยน์ก็เจริญเติบโตขึ้นทั้งในแง่ของผู้ใช้งาน, ปริมาณการทำธุรกรรม, และ กำลังในการประมวลผลที่อุทิศให้แก่มัน ในขณะที่มูลค่าของมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงกว่า $7,000 เหรียญสหรัฐฯ ในปีค.ศ. 20174 หลังจากแปดปีผ่านไป เห็นได้ชัดว่าสิ่งประดิษฐ์นี้ ไม่ได้เป็นเพียงเกมออนไลน์อีกต่อไป แต่มันเป็นเทคโนโลยีที่ได้ผ่านการทดสอบของตลาด และ มีผู้คนมากมายใช้งานมันในโลกแห่งความเป็นจริง โดยที่ราคาของบิตคอยน์ถูกแสดงบนหน้าจอโทรทัศน์, ในหน้าหนังสือพิมพ์, และ บนเว็บไซต์ต่างๆ ควบคู่กับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราสกุลอื่นๆ อย่างเป็นประจำ
มุมมองที่ดีที่สุดในการทำความเข้าใจบิตคอยน์ คือในฐานะของซอฟต์แวร์แบบกระจายศูนย์ที่ทำให้สามารถรับส่งมูลค่า ผ่านสกุลเงินที่ปลอดภัยจากการเกิดเงินเฟ้อที่ไม่คาดคิดได้ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยบุคคลที่สามที่เชื่อใจได้แต่อย่างใด หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ บิตคอยน์สามารถทำหน้าที่ของธนาคารกลางได้อย่างอัตโนมัติ และยังทำให้มันสามารถคาดเดา และ ไม่สามารถแก้ไขย้อนหลังได้ ผ่านการกำหนดมันลงไปในโค้ดที่กระจายตัวอยู่ในกลุ่มผู้ใช้งานนับพัน โดยที่ไม่มีผู้ใช้งานคนใดคนหนึ่งสามารถทำการแก้ไขโค้ดได้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ใช้งานทั้งหมด ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ทำให้บิตคอยน์เป็นตัวอย่างแรกของเงินสดดิจิตัล ที่มีความแข็งแกร่ง สร้างขึ้นได้ยาก และ สามารถใช้งานได้อย่างมีเสถียรภาพโดยแท้จริง แม้บิตคอยน์จะเป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่แห่งยุคดิจิตัล แต่ปัญหาที่มันพยามที่จะแก้ไข — กล่าวคือ การสร้างรูปแบบของเงินที่อยู่ภาตใต้การควบคุมของผู้ถือครองมันอย่างสมบูรณ์ และ สามารถที่จะรักษามูลค่าของมันไว้ได้ในระยะยาว — นั้น เป็นปัญหาที่เก่าแก่เทียบเท่าอายุของสังคมมนุษย์เสียด้วยซ้ำ หนังสือเล่มนี้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว ผ่านผลการศึกษาเป็นเวลาหลายปี เกี่ยวกับเทคโนโลยีบิตคอยน์ และ ปัญหาทางเศรษฐศาสตร์ที่มันสามารถแก้ไขได้, และศึกษาว่าในประวัติศาสตร์สังคม มนุษย์ค้นพบวิธีแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้อย่างไร ข้อสรุปของผม อาจทำให้ผู้ที่มองว่าบิตคอยน์สิ่งหลอกลวง หรือ เป็นเพียงกลอุบายของนักเก็งกำไรที่ต้องการรวยทางลัดต้องแปลกใจ เนื่องจากบิตคอยน์นั้น เป็นคำตอบของ ‘แหล่งเก็บรักษามูลค่า’ ที่ดีกว่าคำตอบอื่นๆที่เคยมีมาในอดีตเสียอีก และความเหมาะสมในการเป็นเงินที่มีความมั่นคงในยุคดิจิตัลนั้น อาจทำให้ผู้ที่ปฏิเสธมันต้องประหลาดใจ
ประวัติศาสตร์สามารถบ่งบอกถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ โดยเฉพาะเมื่อเราพิจารณามันอย่างใกล้ชิด และ มีเพียงเวลาเท่านั้น ที่จะสามารถบ่งบอกได้ว่าข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้มีความถูกต้องมั่นคงเพียงใด ส่วนแรกของหนังสือเล่มนี้ จำเป็นต้องอธิบายถึงเงิน ทั้งในด้านหน้าที่ และ คุณสมบัติของมัน ในฐานะของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีพื้นความรู้ทางวิศวกรรม ผมมักจะพยายามทำความเข้ากับเทคโนโลยีผ่านมุมมองของปัญหาที่เทคโนโลยีนั้นพยายามที่จะเข้ามาแก้ไข ซึ่งจะทำให้เราสามารถก้าวข้ามคุณสมบัติที่ไร้ประโยชน์, สิ่งตกแต่ง, สิ่งที่ไม่สำคัญ, และสามารถเข้าใจถึงหัวใจสำคัญของมันได้อย่างแท้จริง โดยการทำความเข้าใจถึงปัญหาที่เงินพยายามที่จะแก้ไข ทำให้เราสามารถแยกแยะปัจจัยที่ทำให้เงินมีความมั่นคง หรือไม่มั่นคง ได้อย่างชัดแจ้ง และ ทำให้เราสามารถใช้โครงสร้างทางความคิดนั้น ในการทำความเข้าใจว่า เหตุใด สินค้าต่างๆ เช่น เปลือกหอย, ลูกปัด, โลหะ, และเงินของรัฐบาล จึงได้เคยปฏิบัติหน้าที่เป็นเงิน และเพราะเหตุใด สินค้าเหล่านั้นจึงล้มเหลว หรือ ประสบความสำเร็จในการเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า และ สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนในสังคมได้
ส่วนที่สองของหนังสือกล่าวถึงผลกระทบของรูปแบบเงินที่มั่นคงและไม่มั่นคงตลอดทั้งประวัติศาสตร์ ในระดับบุคคล, สังคม, และ โลก เงินที่มั่นคงช่วยให้ผู้คนสามารถวางแผนในระยะยาวและสามารถประหยัดและลงทุนเพื่ออนาคตได้มากขึ้น การประหยัดและการลงทุนในระยะยาวถือเป็นกุญแจสำคัญในการสั่งสมทุนและสร้างความก้าวหน้าแก่อารยธรรมมนุษย์ เงินคือระบบข้อมูลและมาตราวัดทางเศรษฐกิจ เงินที่มั่นคงจะช่วยให้การค้า, การลงทุน, และการเป็นผู้ประกอบการสามารถดำเนินไปบนพื้นฐานที่มั่นคงได้ ในขณะที่เงินที่ไม่มั่นคงจะทำให้กระบวนการเหล่านี้ล้มระเนระนาด นอกจากนี้เงินที่มั่นคงยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสังคมเสรี เนื่องจากมันสามารถเป็นเกราะป้องกันจากรัฐบาลเผด็จการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ส่วนที่สามของหนังสืออธิบายถึงการทำงานของเครือข่ายบิตคอยน์และลักษณะทางเศรษฐศาสตร์ที่เด่นชัดที่สุดของมัน และ ทำการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ของการใช้บิตคอยน์ในฐานะเงินที่มั่นคง โดยจะกล่าวถึงบางกรณีที่บิตคอยน์ทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก รวมไปถึงการพูดถึงความเข้าใจผิด และ การตีความแบบผิดๆ ที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งเกี่ยวกับบิตคอยน์
หนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยเหลือให้ผู้อ่านสามารถทำความเข้าใจบิตคอยน์ในเชิงเศรษฐศาสตร์ และ การที่มันเป็นรูปแบบหนึ่งของเทคโนโลยีต่างๆ ที่เคยถูกใช้เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของเงินตลอดประวัติศาสตร์ หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่โฆษณา หรือ คำเชิญชวนให้ซื้อหรือลงทุนในสกุลเงินบิตคอยน์ ตรงกันข้าม มูลค่าของบิตคอยน์ยังมีแนวโน้มที่จะผันผวนเป็นอย่างมากอย่างน้อยก็อีกสักพัก โครงข่ายบิตคอยน์อาจประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ด้วยเหตุผลที่อาจ หรือมิอาจรู้ได้ และการใช้งานมันต้องอาศัยความเชี่ยวชาญทางเทคนิค และยังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ทำให้มันยังไม่เหมาะสมสำหรับคนจำนวนมาก หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่คำแนะนำทางการลงทุน แต่มุ่งที่จะสร้างความกระจ่างชัดถึงคุณลักษณะทางเศรษฐศาสตร์ของเครือข่ายบิตคอยน์ และ การทำงานของมัน เพื่อให้ผู้อ่านสามารถสร้างความเข้าใจรอบด้านก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะใช้มันหรือไม่
ก่อนที่ใครจะคิดที่จะเก็บรักษามูลค่าใดๆไว้ในรูปของบิตคอยน์ เขาควรทำการศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับประเด็นที่กล่าวมาเบื้องต้น และเกี่ยวกับการเก็บรักษาและใช้งานบิตคอยน์อย่างลึกซึ้ง และ ถี่ถ้วนเสียก่อนเท่านั้น แม้บิตคอยน์อาจมีราคาสูงขึ้นจนดูเป็นสิ่งที่น่าลงทุนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เหตุการณ์การแฮค, การโจมตี, การหลอกลวง, และความผิดพลาดล้มเหลวทางการรักษาความปลอดภัยจำนวนมากที่เกิดขึ้น และ ทำให้ผู้คนต้องสูญเสียบิตคอยน์ของพวกเขาไป ก็เป็นคำเตือนที่ดีให้แก่ผู้ใดก็ตามที่คิดว่าการมีบิตคอยน์นั้นจะสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างแน่นอน ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วและพบว่าบิตคอยน์เป็นสกุลเงินที่ควรค่าแก่การครอบครองแล้ว การลงทุนครั้งแรกของคุณไม่ควรเป็นการลงทุนซื้อบิตคอยน์ แต่ควรเป็นการลงทุนในเวลาที่ต้องใช้เพื่อการศึกษาถึงวิธีในการซื้อ, เก็บรักษา, และการครอบครองบิตคอยน์อย่างปลอดภัย มันเป็นธรรมชาติในตัวของบิตคอยน์ที่ทำให้ความรับผิดชอบดังกล่าวไม่สามารถมอบหมาย หรือ ยกให้เป็นหน้าที่ของคนอื่นได้ สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เทคโนโลยีนี้แล้ว มันไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากการมีความรับผิดชอบเป็นการส่วนตัว และนั่นต่างหากคือการลงทุนที่แท้จริง ที่จำเป็นต่อการเริ่มต้นในการใช้งานบิตคอยน์
หมายเหตุ
1 สามารถดูอีเมลล์ฉบับเต็มได้ที่ Satoshi Nakamoto Institute จากงานเขียนของ Satoshi Nakamoto เนื้อหาทั้งหมดมีอยู่ที่ www.nakamotoinstitute.org
2 The now‐defunct New Liberty Standard.
3 Nathaniel Popper, Digital Gold (Harper, 2015).
4 หากกล่าวอีกนัยหนึ่ง ในช่วงแปดปีที่ผ่านมา Bitcoin มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึงเกือบแปดล้านเท่า หรือ 793,513,944% จากราคาเริ่มต้นที่ $0.000994 ดอลลาร์สู่ถึง $ 7,888 ในช่วงเวลาที่เขียนข้อความนี้
Note: ผลงานแปลนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างเพจ Blockchain Review และ คุณพิริยะ สัมพันธารักษณ์ MD ของ Chaloke dotcom