“เงินในอากาศไม่มีทางมีค่าเท่าเงินที่จับต้องได้”
“เงินที่จับต้องไม่ได้จะไปเชื่อถือได้ยังไง”
“เงินเถื่อนที่ไม่มีธนาคารจะมีมูลค่าได้ยังไง”
“Bitcoin มันก็เอาไว้ใช้แค่ฟอกเงินมันสักวันมันจะล่มสลาย”
คุณเคยได้ยินประโยคเหล่านี้ไหมครับ ถ้าเราย้อนไปซักปีสองปี นี่เป็นประโยคที่คนมักจะพูดถึง Bitcoin กันบ่อยๆ หรือในเว็ปไซต์ Pantip เองเมื่อปีสองปีที่แล้วก็จะมีคำพูดพวกนี้เป็นจำนวนมาก ในวันแรกๆที่ผมรู้จัก Bitcoin มีคนบอกกับผมว่า
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!“Bitcoin มันก็เหมือนเวลาเราเดินไปหยิบใบไม้ข้างทางขึ้นมาแล้วก็บอกว่าใบไม้เนี่ยคือเงินมันมีค่า”
ซึ่งในวันนั้นคือเดือนเมษาปี 2017 ตอนนั้นราคา Bitcoin มีมูลค่าเพียง 40,000 บาท และในขณะที่ Bitcoin ราคาขึ้นไปเรื่อยๆตั้งแต่ 80,000 บาทหรือ 120,000 บาท ก็มักจะมีคนบอกผมว่า “มันฟองสบู่แล้ว” หรือ “เข้าไม่ทันแล้ว” แม้ปัจจุบันราคามันจะอยู่ที่ 200,000 บาทหลังจากตกมาจาก 600,000 บาท แต่ถ้าคุณลองมองย้อนกัลไปจริงๆแล้ว Bitcoin นั้นมีอายุไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ (Bitcoin เริ่มทำงานในมกราคมปี 2009) ในวันนั้น Bitcoin ไม่ได้มีค่าอะไรเลยแต่ผ่านมาเพียง 9 ปีมันมีค่าถึง 200,000 บาท มันเป็นไปได้อย่างไร ถ้าเราหยิบใบไม้ขึ้นมาจากพื้นแล้วบอกว่ามันมีค่า ผ่านไป 10 ปี มันจะมีค่าถึง 200,000 บาทเลยหรือเปล่า คงไม่น่าเป็นไปได้ แล้วทำไม Bitcoin ที่เป็นเพียงข้อมูลที่จับต้องไม่ได้ถึงมีค่าหล่ะ วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังกัน
Bitcoin กับฟองสบู่
ในปัจจุบันตลาด Bitcoin นั้นอยู่ในภาวะที่ตกต่ำราคา Bitcoin ตกจาก 600,000 บาท ลงมาสู่ 200,000 บาท ทำให้หลายคนออกมาทำนายว่า Bitcoin เป็นฟองสบู่แล้ว ซึ่งจริงๆแล้วตั้งแต่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้นมามีคนออกมาทำนายว่า Bitcoin จะตายมานับครั้งไม่ถ้วนอ้างอิงจาก
99Bitcoin มีคนที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า Bitcoin จะตายถึง 315 ครั้งแล้ว แต่ปัจจุบันมันก็ยังไม่ตายเสียที กรณีการกล่าวอ้างที่อื้อฉาวที่สุดคือการที่นาย Jamie Diamond ผู้บริหารของ JPMorgan ออกมากล่าวว่า Bitcoin คือเรื่องหลอกลวง ทำให้ราคา Bitcoin ตกก่อนจะมีหลักฐานออกมาภายหลังว่าธนาคาร JPMorgan เข้าซื้อ Bitcoin ตอนที่ราคาตก
ทฤษฏีการมีค่าของสิ่งต่างๆ
คุณคิดว่าเงินกระดาษที่เราใช้ทุกวันนี้มีค่าเพราะอะไรหละเพราะทองหรือเปล่า จริงๆในปัจจุบันโลกเราไม่มีประเทศไหนที่ใช้ทองคำในการค้ำประกันค่าเงินมานานมากแล้วครับ แล้วหากว่าเงินมีค่าเพราะทองคำ ทำไมทองคำจึงมีค่าหละ ทำไมหินสีทองนี้จึงมีค่า ทำไมกระดาษเงินกระดาษทองที่เราเผาให้บรรพบุรุษถึงไม่มีค่าเหมือนกันวันนี้จะมาเล่าให้ฟัง
ย้อนร้อยประวัติการเงิน
จริงๆผมเคยเขียนเรื่องประวัติศาสตร์การเงินไปแล้วเป็นบทความตอนยาวเพราะฉะนั้นผมอาจจะเล่าแบบย่อๆในบทความนี้นะครับ (ประวัติศาสตร์ Bitcoin ตอนที่ 1 การเงินก่อนยุคดิจิทัล) จริงๆแล้วถ้าเราย้อนไปในอดีตสมัยที่ยังไม่มีเงินตราละก็เราจะพบว่าเงินนั้นมีการพัฒนาจากยุคสู่ยุคเสมอและเหตุผลของการมีค่าก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ในสมัยแรกๆระบบที่เราใช้งานในการแลกเปลี่ยนสินค้ากันเรียกว่าระบบ Bater system หรือระบบของแลกของ เช่น ผมมีข้าว และ คุณมียารักษาโรค ถ้าต่างฝ่ายต่างต้องการสิ่งที่อีกฝ่ายมีการแลกเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้น
แต่แน่นอนว่าระบบของแลกของมันก็มีข้อเสียที่การแลกเปลี่ยนนั้นทำได้ลำบาก จึงได้มีการคิดค้นตัวกลางต่างๆขึ้นมาในยุคแรกก็จะเป็น เกลือ ตามด้วย หินมีค่าอย่างทองคำเพชรพลอยหรือแร่เงิน สุดท้ายหินแร่เหล่านั้นก็ถูกนำไปเป็นส่วนประกอบในการสร้างรูปแบบของเงินที่มีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับมากขึ้น นั่นก็คือ “เหรียญกษาปณ์” เหมือนอย่างที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ แน่นอนว่าการเคลื่อนย้ายเงินที่เป็นแร่โลหะจำนวนมากนั้นไม่ได้สะดวกสบายเสมอไป ด้วยเหตุนี้จึงได้มีการคิดค้นระบบธนาคารหรือสถาบันทางการเงินขึ้นมา โดยธนาคารจะทำการมอบตั๋วธนบัตรให้กับผู้ที่นำทองหรือเงินในรูปแบบอื่น ๆ มาฝาก ทำให้การแลกเปลี่ยนสิ่งของและการกำหนดมูลค่าของสิ่งของต่าง ๆ สามารถทำได้สะดวกยิ่งขึ้นเมื่อไม่จำเป็นต้องพกเหรียญทองจำนวนมาก แต่ในทางกลับกัน ปัญหาที่ตามมาก็คือการฉ้อโกงและการปลอมแปลงตั๋วเงินธนบัตรนั้น สามารถทำได้ง่ายกว่าการปลอมแปลงเหรียญหรือโลหะประเภทอื่นๆ
การใช้ธนบัตรก็ส่งผลให้แต่ละประเทศต้องพยายามเป็นอย่างมากที่จะสร้างกลไกในการป้องกันการปลอมแปลงหรือการสร้างธนบัตรปลอมขึ้นมาใช้งาน นอกจากนี้แต่ละประเทศก็จะยอมรับเพียงสกุลเงินของประเทศตัวเอง หลายประเทศจึงต้องเริ่มใช้งานระบบมาตรฐานทองคำ (Gold Standard) ในการค้ำประกันมูลค่าของเงินประเทศนั้น ๆ ตามราคาทองคำที่ประเทศตนตั้งราคาซื้อขายเอาไว้
ในยุคสงครามเวียดนามสหรัฐอเมริกา ขาดดุลการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ขยายตัวลดลง ทำให้สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาอ่อนค่า หลายประเทศที่ถือเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เกิดความสงสัยว่า สหรัฐอเมริกา พิมพ์ธนบัตรออกมาใช้มากกว่าทองคำที่เป็นทุนสำรองอยู่หรือไม่ จึงนำเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปแลกทองคำกลับมา และแน่นอนว่าสหรัฐฯไม่สามารถหาทองคำให้แลกคืนได้พอ นายริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะนั้นได้ประกาศยุติ Gold Standard ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิขของความเชื่อแต่ละประเทศ จนส่งผลให้ทั้งโลกค่อย ๆ ปรับตัวมาใช้ระบบเงินที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบัน นั่นก็คือระบบเงินตราเฟียต (Fiat Currency) เท่ากับเงินในปัจจุบันนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับทองคำแต่ขึ้นอยู่กับ “ความเชื่อ” เช่นเงินดอลลาร์ก็มีค่าจากความเชื่อมั่นที่คนมีต่อประเทศสหรัฐอเมริกา
ความเชื่อกับมูลค่าของสิ่งของ
จริงๆแล้วทุกอย่างบนโลกนี้ขึ้นอยู่กับความเชื่อทั้งนั้น แม้แต่ตัวบุคคลก็ตาม คุณลองคิดภาพว่าถ้าคุณไปยืมเงินใครซักคนหนึ่ง แล้วถ้าคุณไม่คืนเงิน เท่ากับว่าคุณนั้นจะขาดความน่าเชื่อถือ เพื่อนของคุณจะไม่ให้คุณเงินอีกซึ่งทำให้เครดิตคุณเสีย ซึ่งหลักการนี้มันสามารถใช้ได้กับทุกอย่างๆ ถ้าคุณมีทองคำแต่ถ้าทุกคนบนโลกไม่ได้คิดว่าทองคำเป็นสิ่งมีค่า ทองคำในมือคุณจะมีค่าอะไร ถ้าวันนี้คุณมีธนบัตร 100 บาท แต่คุณอยู่ที่ประเทศบังคลาเทศ ไม่มีใครเชื่อในธนบัตร 100 บาทของคุณมันจะมีค่าอะไร
การรเริ่มต้นมีมูลค่าของ Bitcoin
ในยุคเริ่มต้นที่ Bitcoin ถูกสร้างขึ้นมันก็ไม่ต่างอะไรจากของเล่นของคนกลุ่มๆนึงเท่านั้นจน ในวันที่ 17 พฤษภาคม ปี 2010 ในเว็ปไซต์ Bitcointalk มีผู้ใช่นามว่า Laszlo ประกาศว่าเค้าต้องการซื้อพิซซ่า 2 ถาดแลกกับ 10,000 BTC ซึ่งในขณะนั้นมีมูลค่า $41 หลังนั้นก็มีผู้ใช้นามว่า Jercos ได้สั่งพิซซ่าสองถาดแลกกับ 10,000 BTC และนั้นเป็นครั้งแรกที่มีการนำ Bitcoin มาใช้งานจริงๆในโลก (อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่นี่)
Bitcoin ได้ถูกใช้งานมากขึ้นในตลาดมืดที่ชื่อว่า Silkroad ที่เป็นเว็ปไซต์ Ecommerce สามารถซื้อขายของด้วย Bitcoin ทำให้ภาพลักษณ์ที่ไม่ดี แต่ถ้าเรามองในแง่เศรษฐศาสตร์คือ Bitcoin นั้นเริ่มมีการใช้งานและมีการยอมรับมูลค่า ถ้า Bitcoin สามารถซื้อยาเสพติดได้ทำไมมันถึงจะนำไปซื้อบ้านและรถไม่ได้หละ
ในปัจจุบันการยอมรับ Bitcoin มีมากขึ้นเรื่อยๆ มีร้านค้าจำนวนมากขึ้นที่รับ Bitcoin ไม่ว่าจะ Subway KFC Burgerking ในบางประเทศและในเดือนเมษายน 2017 ญี่ปุ่นได้ประกาศให้ Bitcoin เป็นสิ่งถูกกฎหมายที่สามารถใช้งานได้ มีร้านค้าจำนวนมากในญี่ปุ่นที่เราสามารถซื้อได้ด้วย Bitcoin โดยไม่ต้องไปแลกเงินด้วยซ้ำ ยิ่ง Bitcoin เป็นที่รู้จักยิ่งมีคนเชื่อยอมรับก็จะทำให้ Bitcoin มีมูลค่า
ตลาดเงินดิจิทัล
ในปัจจุบันนั้นเงินดิจิทัลไม่ได้มีแค่ Bitcoin เท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง Ethereum,Litecoin,Stellar แล้วเงินดิจิทัลเหล่านี้มีถูกออกแบบมาด้วยลักษณะที่แตกต่างจาก Bitcoin บ้างก็ถูกใช้ในธุรกิจต่างๆหรือแม้แต่เป็นแพลทฟอร์ม ซึ่ง Bitcoin นั้นกลายเป็นฐานให้กันเงินดิจิทัลเหล่านี้เนื่องจาก Bitcoin กินส่วนแบ่งทางการตลาดเกินกว่า 40% หาก Bitcoin จะตายก็ต้องรอให้เงินดิจิทัลสกุลอื่นๆที่มีกว่า 2500 สกุลนั้นตายไปให้หมดก่อน และหากตลาดเงินดิจิทัลเติบโต Bitcoin ก็จะเติบโตตาม รวมไปถึงการระดมทุน ICO ที่ใช้เงินดิจิทัลในการระดมทุนก็เป็นหนึ่งในการทำให้ตลาดเงินดิจิทัลกระเตื๊องขึ้น
ต้นทุนการได้มาของ 1 Bitcoin
Bitcoin มักถูกนำไปเปรียบกับทองคำเพราะว่ามันมีต้นทุนในการขุด Bitcoin เปรียบดั่งต้นทุนที่ใช้ในการขุดทองคำทุกวันนี้ราคาของทองคำนั้นถูกคำนวนด้วยต้นทุนที่ใช้ในการขุดทองคำเช่นกันทำให้มีบางทฤษฎีที่บอกว่า Bitcoin มีมูลค่าพื้นฐานตามต้นทุนกำลังไฟที่ใช้ในการขุด
ความหายากของ Bitcoin
ทำไมทองคำถึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าตัวเก็บมูลค่า เพราะทองคำนั้นมีจำนวนจำกัดคงทนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลง การที่เราจะผลิตทองคำขึ้นมาเองได้นั้นเราอาจจะต้องนำพระอาทิตย์สองดวงมาชนกันเพื่อให้เกิด Super nova เพื่อให้เราจะได้พลังงานมากพอที่จะสร้างทองคำได้ ซึ่งมันคล้ายกับ Bitcoin ตรงที่มันมีจำนวนจำกัดมีความยากที่จะได้มันมาและไม่สามารถผลิตเพิ่มได้หลังจากครบ 21 ล้านเหรียญ
ความเชื่อกับการเก็งกำไร
“Bitcoin เป็นสิ่งที่เอาไว้ใช้เก็งกำไรเท่านั้นไม่สามารถนำมาใช้จริงได้”
คุณเคยได้ยินประโยคนี้ไหมครับ แต่จริงๆแล้วการเก็งกำไรเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราพบได้ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ทองคำเราอาจจะคิดว่าทองคำเอามาใช้ประโยชน์ๆได้หลายอย่างไม่ว่าจะอุตสหกรรมหรือการทำเครื่องประดับ แต่ถ้าคุณลองมองดูราคาทองคำดีๆเทียบกับอรรถประโยชน์ที่มันทำได้จริงๆแล้วมูลค่ามันไม่ควรสูงขนาดนั้นครับ มูลค่าเพิ่มเติมที่เพิ่มขึ้นมานั้นเกิดจากความเชื่อความรู้สึกและการเก็งกำไรของคนที่ให้ค่าทองคำ เช่นเดียวกับ Bitcoin ที่แน่นอนมันใช้ประโยชน์ได้แต่ก็ไม่ได้มากขนาดเท่ากับราคาในทุกวันนี้
และก็อาจจะมีคนที่พูดว่า
“Bitcoin ราคาเหวี่ยงมากมันเชื่อไม่ได้หรอกมันน่ากลัวเกินไป ลองดูหุ้นหรือทองคำสิไม่เห็นเหวี่ยงขนาดนี้เลย”
ซึ่งจริงๆแล้วเราไม่สามารถนำจุดนี้ของ Bitcoin ไปเปรียบกับหุ้นทองคำได้ครับ เพราะประวัติศาสตร์ของทองคำกับหุ้นนั้นยาวนานกว่า Bitcoin มาก ความเชื่อในทองคำและหุ้นนั้นมากกว่า Bitcoin ที่มีอายุเพียง 9 ปีอย่างเทียบไม่ติด และปริมาณการซื้อขายหุ้นและทองคำยังมากกว่า Bitcoin อย่างมหาศาล แอต่อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย Bitcoin จะมีราคาที่นิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเราย้อนเวลาไปดูประวัติศาสตร์ของ Bitcoin เราจะพบว่าความผันผวนมันจะน้อยลงเรื่อยๆตามกาลเวลา ในวันที่มีคนเริ่มรู้จักหุ้น ก็มีคนมากมายที่ลงทุนในหุ้นมากมายโดยได้ยินว่ามีคนบางคนรวยเป็นเศรษฐีจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งมันไม่ต่างกับ Bitcoin เลย
เงินกระดาษสิของจริงที่มีค่า
หลายคนมักจะพูดว่าเงินธนบัตรสิของจริงเชื่อได้เสมอ เงินที่ไม่มีรัฐบาลรองรับจะไปเชื่ออะไรได้ แต่คุณรู้ไหมครับวิกฤติการเงินแต่ละครั้งที่เกิดขึ้นบนโลกนั้น ล้วนเกิดจากการบริหารที่ล้มเหลวหรือการฉ้อโกงของรัฐบาลหรือนายธนาคารทั้งนั้น ซึ่งกรณีที่เราอาจจะเห็นได้ชัดที่สุดคือประเทศซิมบับเว ประเทศซิมบับเวนั้นรัฐบาลบริหารเงินล้มเหลวทำให้ติดหนี้ IMF มหาศาลรัฐบาลจึงแก้ไขโดยการพิมพ์เงินขึ้นมาและนำเงินไปใช้หนี้ให้หมด ซึ่งหลังจากนั้นซิมบับเวต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้ออย่างยิ่งยวดในปี 2008 ซิมบับเว มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 79,600,000,000% เงินดอลลาร์ซิมบับเวกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีค่า ผู้คนจึงหันมาใช้สิ่งอื่นเช่นทองคำ Bitcoin หรือเงินดอลลาร์
ซิมบับเวเป็นเพียงตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดเท่านั้นจริงๆแล้วยังมีวิกฤตการเงินอีกมากบนโลกที่เกิดขึ้นและสิ่งที่น่าสนใจคือผู้ที่ฉ้อโกงและบริหารงานผิดพลาดนั้นมักไม่ได้รับโทษอะไรเลยเพราะพวกเขาใหญ่เกินกว่าที่จะล้ม (Too Big to Failed) และคนที่ต้องแบกรับความผิดพลาดนี้ก็คือประชาชน
แล้วคุณผู้อ่านหละคิดว่าทำไม Bitcoin ถึงมีมูลค่าจริงๆแล้วยังมีเรื่องมากมายที่คนพูดถึงมูลค่าของ Bitcoin แต่ที่ผมเอามาพูดนี้เป็นเพียงตัวอย่างพื้นฐานคร่าวๆเท่านั้น ลองแสดงความคิดเห็นกันได้นะครับ