คำเตือน !!! : สำหรับ Maximalist อาจไม่ถูกใจ ถ้าไม่ถูกใจ กดปิดบทความได้เลยครับ
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ทำไมผมถึงกล่าวเสมอว่า คุณควรขายออกมาบ้างเมื่อกำไร เล่นเป็นจังหวะ เพราะตลาดมีได้มีเสีย มีคนกำไรมีคนขาดทุนตลอด ไม่มีราคายุติธรรมอย่างแท้จริงในตลาด เพราะมันคือสถานที่(ดอย)ที่คนลงทุนบนอารมณ์ ดังนั้นเราเล่นอารมณ์เสมอ
A : ทำไมถึงซื้อ
B : เพราะคิดว่าอนาคตราคามันจะมากกว่านี้
A : แล้วคนทั้งตลาดคิดเหมือนกันไหม
B : ไม่รู้ แต่ซื้อเพราะชั้นให้ค่ากับมันและเชื่อมั่นมันหน่ะสิ
โอเควันนี้คนอาจจะยังให้ค่าอยู่ จึงไม่แปลกที่ราคาจะยืนพื้นได้ แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น Bx.in.th กระดาษเทรดอันดับต้นของประเทศไทย เรียกว่าที่ 1 เลยก็ได้ ประกาศปิดแบบฉับพลัน โดยจะปิดปลายเดือนกันยายนนี้
อะไรคือสิ่งที่เกิดต่อจากนี้ ผู้สื่อข่าวมากประสบการณ์ในการเขียนข่าว แต่ไม่เคยเข้าใจธรรมชาติของการลงทุนคริปโต ก็บอกว่า “บ.บิทคอยน์” ปิดตัวแล้ว ซึ่งถือว่าไม่ผิด เพราะ Bx.in.th อยู่ภายใต้บริษัท Bitcoin CO,.LTD จริง แต่สิ่งที่ทำให้คนนอกตลาดเข้าใจผิด เพราะการนำรูปเหรียญ Bitcoin ไปวางประกอบกับชื่อ “บ.บิทคอยน์”
ฉากต่อมาคือ คนเกิดความกลัว คิดว่าจะขายเหรียญไม่ได้อีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกแชร์ลูกโซ่ที่มีเงินดิจิทัลจำนวนมาก จากการหลอกคนอื่นมาลงทุนในแชร์ลูกโซ่อีกที และส่วนมากเป็นบิทคอยน์ เทกระจาดสิครับ
นั่นทำให้ราคาของบิทคอยน์ Bitcoin(BTC) ลดลงมาถึงเกือบครึ่งนึง ราว 40-50%
ตามมาด้วย อีเธอเรียม Ethereum(ETH) ราว 40-50% เช่นกัน
หนักกว่านั้นคือกลุ่มเหรียญทางเลือกตัวรองใน Bx.in.th เช่น
Dash(DASH) จาก 2,500 บาท ลงไปเหลือ 500 บาท คิดเป็นราว 80%
Everex(EVX) จาก 13 บาท ลงไปเหลือ 6 บาท คิดเป็นราว 53%
OmiseGo(OMG) จากราคา 31 บาท ลงไปเหลือ 12 บาท คิดเป็นราว 61.3%
แต่ที่บรรลัยที่สุดคงไม่พ้น Ripple(XRP) จากราคาราว 7.5บาท ลงไปเหลือ 1 บาท ลดลงราว 83%
นี่เป็นเหตุการณ์จากคนกลุ่มนึงขายเพียงเท่านั้น เราต่างก็รู้ว่า มันไม่เหมือนหุ้น ที่มีสินทรัพย์ค้ำ ไม่ได้มีธุรกิจที่ทำเงินได้จริง ส่วนมากเป็น Fully Speculation หรือการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียว ดังนั้นสินทรัพย์ที่เป็นการเก็งกำไรเพียงอย่างเดียวนั้น มีอยู่เพื่อใช้ในการไล่ราคากัน เป็นสินทรัพย์ที่ทำเงินได้ดีกับนักเก็งกำไร แต่จะเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องน้อยเป็นพิเศษ ส่วนนึงอาจเพราะตลาดคริปโตพึ่งเกิดใหม่ แต่ก็ยังต่างจาก Forex ที่ค่าเงินสามารถนำไปใช้เป็น Full Liquidity on Cash ได้ หรือก็คือเป็นสิ่งที่มีสภาพคล่องเทียบเท่าเงินสดแบบ 1:1 หรือต่างจากตลาดหุ้นที่ทำเงินจากกิจการจริงเป็นส่วนมาก
หลังจบเหตุการณ์ทุกคนทำอะไรกัน พูดกันอย่างเดียวว่าได้เงินมาเยอะ คือคนที่มันซื้อทันหน่ะ มีไม่กี่คนหรอก แล้วพูดอีกว่า รู้งี้น่าจะเติมเงินรอ ก็ไม่ผิด แต่หากลองมองมุมกลับ สภาพคล่องมันน้อยมาก ทำให้การขายเพียงหยิบมือ ทำให้สินทรัพย์ราคาลดลงแบบมหาศาลได้ เพราะการที่ตลาดแลกเปลี่ยนแยกกัน หมายความว่า สภาพคล่องก็แยกกันด้วย แม้คุณและผมจะซื้อ Bitcoin เหมือนกัน แต่สภาพคล่องในการซื้อขายของเรานั้นต่างกัน หากใช้คนละตลาดแลกเปลี่ยน
สิ่งที่ตลาดแลกเปลี่ยนควรทำคืออะไร
ควรจะควบรวมสภาพคล่องกับตลาดแลกเปลี่ยนอื่นทั่วโลก (Liquidity Merging) เพื่อลดโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น
สิ่งที่สื่อกระแสหลักควรทำคืออะไร
ส่งคนเขียนข่าวมาเรียนเทคโนโลยีบ้าง ปรับตัวซะบ้าง เพราะการกระทำพวกข่าวกระแสหลัก ส่งผลต่อคนจำนวนมาก ที่สำคัญคือ “หัดมีจรรยาบรรณซะบ้าง” มันไม่ยากหรอก อะไรที่ไม่เคยก็หัดได้แล้วนะครับ
แล้วนักทุนควรทำอะไร อย่างที่กล่าวมาข้างต้นเลย
“คนส่วนมาก หัดซื้อเพราะเราอยากกำไร แล้วทำไม ไม่หัดขาย เพื่อหัดมีกำไรจริงๆบ้าง”
Enjoy Trading
Thank you all