ยาวไปอยากเลือกอ่าน
แสดง
สัปดาห์ก่อน Chengpeng Zhao หรือชื่อที่คุ้นเคยในทวิตเตอร์คือ CZ ผู้ก่อตั้งและ CEO ของ Binance และ Vitalik Buterin ผู้ก่อตั้ง Ethereum กล่าวกับคอมมูนิตี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ตลาดคริปโต จะเติบโตทางมูลค่ามากกว่า1000เท่า (1000x) ในระยะยาว ซึ่งตอนนี้ตลาดมีมูลค่าประมาณ 2แสนล้านดอลลาร์ ถ้าโตอีก1000เท่า จะประมาณ 200ล้านล้านดอลลาร์
มาดูกันว่ามูลค่าตลาดขนาด 200ล้านล้านดอลลาร์ มากแค่ไหน
นี่คือรูปของพีระมิดกลับหัวของ John Exter ผู้เคยเป็นหนึ่งในสมาชิกบอร์ดบริหารของ FED
หากคริปโตไปถึง 200ล้านล้านดอลลาร์
จะมีมูลค่ามากกว่าทองคำ(Gold) 31.25เท่า หรือ 31.25x
จะมีมูลค่ามากกว่าเงินธนาคาร (BankMoney) 4เท่า หรือ 4x
#Note : Bank Money คือเงินฝากแบบกระแสรายวัน (ธ.แห่งประเทศไทยเรียกเงินฝากเพื่อเรียก)
จะมีมูลค่ามากกว่าพันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds) ประมาณ 3.52เท่า หรือ 3.52x
จะมีมูลค่ามากกว่ามูลค่ารวมของหุ้นกู้บริษัทและพันธบัตรรัฐท้องถิ่น (Coperate &Municipal Bonds) ที่ประมาณ 1.71เท่า หรือ 1.71x
และมีมูลค่าเป็น 1ใน5 ของของตลาดตราสารอนุพันธ์
สิ่งที่ CZ จะบอกคือ เค้ามองว่าตลาดของคริปโต มีศักยภาพไม่น้อยไปกว่าตลาดตราสารอนุพันธ์ และอาจต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเติบโต
สิ่งที่แตกต่างคือ ตลาดเหล่านั้นมีการยอมรับทั้งทางกฎหมายและผู้คนส่วนใหญ่ในสังคม ตลาดคริปโตทุกวันนี้ยังมีผู้เล่นน้อยราย และกฎหมายที่คลุมเครือ เทคโนโลยีที่ยังต้องพัฒนาอีกมาก นั่นจึงไม่แปลกที่มูลค่าของตลาดแห่งนี้ยังไม่สามารถเกินกว่า 1ล้านล้านดอลลาร์ได้
สิ่งที่นึงที่เราเห็นได้ชัดคือ เมื่อปีที่แล้วตลาดแห่งนี้ขึ้นไปท้าทายมูลค่าตลาดที่ราคา 8แสนล้านดอลลาร์ ทำให้เหล่ารัฐบาลทั่วโลกต่างพากันมาออกกฎหมายควบคุมความร้อนแรงของตลาดแห่งนี้
และหนึ่งในสิ่งที่ทางเราอยากให้ท่านผู้อ่านเข้าใจว่าเหตุผลที่คริปโตนั้นเป็นสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงมากเพราะมันมีอายุน้อยมาก เมื่อเทียบกับทองคำหรือหุ้นที่มีมูลค่ายาวนานแล้ว คริปโตนั้นมีอายุไม่ถึง 10 ปีด้วยซ้ำ การเก็งกำไรในตลาดนี้มีมากเกินกว่าการใช้งานจริงที่เกิดขึ้นเนื่องจากมันมีอายุน้อย ในช่วงแรกๆที่หุ้นถือกำเนิดขึ้นก็มีคนลงทุนในหุ้นเพราะได้ยินว่ามียาจกที่กลายเป็นเศรษฐีได้ในช่วงข้ามคืน เพราะอย่างนั้นคริปโตอาจจะต้องใช้เวลาอีกมากกว่ามันจะได้รับการยอมรับมากพอเทียบเท่าหุ้นหรือทองคำ
Happy Holding
ขอบคุณครับ
Writer
Rotehut Verheizen
อดีตนักศึกษาวิศวะที่หันมาเอาดีด้านการลงทุน ปัจจุบันทำงานให้กับกองทุนบริหารความเสี่ยงที่ฮ่องกงและสิงคโปร์ ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์และโปรแกรมเมอร์ด้านกลยุทธ์การลงทุน รวมทั้งก่อตั้ง Private Fund เพื่อลงทุนในสินทรัพย์ทั่วโลก
