บทที่ 8
เงินดิจิทัล
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
การปฏิวัติอุตสาหกรรมการติดต่อสื่อสารที่เริ่มจากการผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเขียนโปรแกรมได้เป็นเครื่องแรกในช่วงปีค.ศ. 1950 ได้คืบคลานเข้ามามีผลต่อแง่มุมเชิงวัตถุต่างๆของชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการมอบคำตอบเชิงวิศวกรรมให้กับปัญหาที่มีมาตั้งแต่โบราณกาลจนถึงปัจจุบัน แม้ธนาคารและบริษัทสตาร์ทอัพจำนวนมากต่างหันมาใช้คอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโครงข่ายสำหรับการชำระเงินและการจดบันทึกบัญชีมากขึ้นทุกวัน แต่นวัตกรรมที่ประสบความสำเร็จกลับไม่ได้สร้างเงินในรูปแบบใหม่ๆขึ้นเลย และนวัตกรรมที่พยายามจะสร้างเงินรูปแบบใหม่ล้วนแล้วแต่ประสบความล้มเหลว บิตคอยน์เป็นตัวแทนของเงินที่มีลักษณะดิจิทัลโดยสมบูรณ์ซึ่งเกิดขึ้นเป็นคำตอบสำหรับปัญหาของเงิน และเรายังสามารถเห็นศักยภาพของมันในการแก้ปัญหาของความสะดวกในการซื้อขาย ความมั่นคง และความเป็นอธิปไตยได้อีกด้วย บิตคอยน์ได้ทำงานมาโดยไม่มีข้อบกพร่องเลยในตลอดระยะเวลากว่า 9 ปีที่ผ่านมา และถ้ามันยังสามารถทำงานอย่างนี้ต่อไปได้อีก 90 ปี มันจะกลายเป็นคำตอบที่น่าดึงดูดสำหรับปัญหาของเงินโดยการมอบอธิปไตยทางการเงินที่สามารถต่อต้านการเกิดเงินเฟ้อโดยไม่คาดฝันในขณะที่ยังมีความสะดวกในการซื้อขายข้ามผ่านมิติทั้งทางระยะทาง ขนาด และกาลเวลาอีกด้วย หากบิตคอยน์สามารถทำงานได้อย่างที่มันทำมาตลอด เทคโนโลยีต่างๆที่มนุษย์เคยประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเงิน ไม่ว่าจะเป็นหอย เกลือ วัว โลหะมีค่า และกระดาษของรัฐบาล อาจกลายเป็นเทคโนโลยีหลงยุคในโลกสมัยใหม่ของพวกเรา เฉกเช่นการเปรียบเทียบลูกคิดกับคอมพิวเตอร์สมัยใหม่
เราได้เห็นแล้วว่าการค้นพบศาสตร์ของการผลิตโลหะสามารถผลิตคำตอบสำหรับโจทย์ของเงินที่เหนือกว่าลูกปัดแก้ว หอย และสิ่งของอื่นๆ และเรายังได้เห็นแล้วอีกว่าการกำเนิดขึ้นของการมีเหรียญที่มีขนาดมาตรฐานยังสามารถทำให้เหรียญทองและเหรียญเงินกลายเป็นรูปแบบของเงินที่เหนือกว่าทองคำก้อนที่มีขนาดไม่เท่ากันได้อย่างไร เรายังได้เห็นอีกว่าเหตุใดธนาคารที่มีทองคำหนุนหลังสามารถทำให้ทองคำได้กลายมาเป็นมาตรฐานทางการเงินของโลกที่นำมาสู่การยกเลิกการใช้เหรียญเงินในที่สุด จากความจำเป็นในการรวบรวมทองคำไว้ที่ศูนย์กลางทำให้เกิดเงินของรัฐบาลที่มีทองคำหนุนหลังอยู่ ซึ่งสะดวกต่อการซื้อขายในเชิงขนาดและปริมาณมากกว่า แต่มันก็มาพร้อมกับการขยายฐานอุปทานของเงินโดยรัฐบาลและการควบคุมโน้มน้าวที่ทำลายความมั่นคงและอธิปไตยของเงินลงในที่สุด ตลอดทุกขั้นตอนเราจะเห็นได้ว่าพัฒนาการและความเป็นจริงทางเทคโนโลยีเป็นสิ่งที่กำหนดมาตรฐานทางการเงินที่ผู้คนใช้กันในแต่ละยุคสมัย และส่งผลกระทบอันยิ่งใหญ่ต่อเศรษฐกิจและสังคม สังคมและผู้คนที่เลือกใช้มาตรฐานทางการเงินที่มั่นคง เช่นชาวโรมันภายใต้การปกครองของซีซาร์ ชาวบิแซนทีนภายใต้คอนแสตนติน หรือชาวยุโรปในยุคมาตรฐานทองคำล้วนแล้วแต่ได้รับผลประโยชน์อันใหญ่หลวง ผู้คนที่มีเงินที่ไม่มั่นคงหรือเงินที่ใช้เทคโนโลยีล้าสมัยเช่นชาวเกาะแยปเมื่อตอนที่กับตันโอคีฟได้เข้าไปถึงหมู่เกาะแยป ชาวอาฟริกันตะวันตกที่ใช้ลูกปัดแก้ว หรือชาวจีนที่ยังอยู่กับมาตรฐานแร่เงินในช่วงศตวรรษที่สิบเก้า ล้วนแล้วแต่พบกับความเสียหายอันใหญ่หลวง
บิตคอยน์เป็นตัวแทนของคำตอบเชิงเทคโนโลยีใหม่สำหรับโจทย์ของเงิน มันเกิดขึ้นในยุคดิจิทัลผ่านการใช้งานนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจำนวนมากที่ถูกพัฒนาขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา และพัฒนาต่อมาจากการพยายามที่จะสร้างเงินดิจิทัลหลายต่อหลายครั้งในอดีต เพื่อสร้างสิ่งที่แทบจะไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เพื่อที่จะทำความเข้าใจประเด็นดังกล่าวเราจะมุ่งเน้นไปที่การศึกษาคุณสมบัติในการเป็นเงินของบิตคอยน์ พร้อมกับประสิทธิภาพการทำงานของโครงข่ายบิตคอยน์ตั้งแต่วันที่มันถือกำเนิดขึ้น และเช่นเดียวกับที่หนังสือเกี่ยวกับระบบมาตรฐานทองคำคงจะไม่กล่าวถึงคุณสมบัติทางเคมีของทองคำ บทนี้ก็จะไม่ลงลึกในรายละเอียดทางเทคนิคเกี่ยวกับวิธีการทำงานของบิตคอยน์มากเกินไปเช่นกัน โดยจะมุ่งเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับคุณสมบัติใน
บิตคอยน์ในฐานะเงินสดดิจิทัล
เพื่อที่จะทำความเข้าใจถึงความสำคัญของเทคโนโลยีเงินสดดิจิทัล มันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะมองย้อนไปยังโลกก่อนที่บิตคอยน์จะถูกสร้างขึ้นมา ในเวลาที่เราสามารถแบ่งวิธีในการชำระเงินออกเป็นสองวิธีที่ไม่มีความทับซ้อนกัน:
- การชำระเงินด้วยเงินสด ซึ่งเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัวระหว่างสองฝ่าย การชำระเงินในรูปแบบนี้มีคุณลักษณะของความรวดเร็วทันทีและความสิ้นสุดโดยสมบูรณ์ และไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจระหว่างผู้ทำธุรกรรมทั้งสองฝ่าย การชำระเงินในรูปแบบดังกล่าวมีความทันทีทันใดไม่มีความล่าช้าและไม่สามารถมีมือที่สามเข้ามายับยั้งการทำธุรกรรมนั้นได้ จุดอ่อนหลักๆของการชำระเงินรูปแบบดังกล่าวคือการที่ผู้ทำธุรกรรมทั้งสองฝ่ายจำเป็นต้องมาอยู่ในสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นปัญหาที่มีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆในยุคสมัยที่พัฒนาการทางการสื่อสารกำลังทำให้โอกาสที่ผู้คนต้องการที่จะทำธุรกรรมกับคนที่อยู่ไกลออกไปมีมากขึ้นเรื่อยๆ
- การชำระเงินผ่านตัวกลาง ซึ่งจำเป็นต้องมีบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ ประกอบไปด้วย เช็ค บัตรเครดิต บัตรเดบิต การโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคาร การส่งเงินผ่านบริการส่งเงิน และนวัตกรรมใหม่ๆเช่น Paypal เป็นต้น โดยคำจำกัดความแล้วการชำระเงินผ่านตัวกลางจำเป็นต้องมีตัวกลางเป็นบุคคลที่สามที่ทำหน้าที่จัดการการชำระเงินระหว่างสองบุคคล ข้อดีหลักๆของการชำระเงินผ่านตัวกลางคือการที่ผู้ที่ต้องการทำธุรกรรมระหว่างกันและกันไม่จำเป็นต้องอยู่ในสถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน และการทำให้ผู้ชำระเงินสามมารถทำการชำระเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องพกเงินติดตัวอยู่เสมอ จุดอ่อนหลักของการชำระเงินแบบดังกล่าวคือความจำเป็นที่จะต้องเชื่อถือตัวกลางในการทำธุรกรรม ความเสี่ยงที่ความปลอดภัยของตัวกลางจะถูกทำลาย และค่าใช้จ่ายและเวลาที่จำเป็นในการทำให้การชำระเงินสิ้นสุดโดยสมบูรณ์จนผู้รับเงินสามารถนำเงินนั้นไปใช้จ่ายได้
การชำระเงินทั้งสองรูปแบบต่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย และผู้คนส่วนใหญ่ก็ใช้งานระบบการขำระเงินทั้งสองรูปแบบอย่างผสมผสานกันในการทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจของพวกเขา ก่อนที่บิตคอยน์จะถูกสร้างขึ้น การชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลทั้งหมดนับเป็นการชำระเงินผ่านตัวกลางทั้งสิ้น ตั้งแต่วันที่คอมพิวเตอร์ถูกคิดค้นขึ้นธรรมชาติของอะไรก็ตามที่เป็นดิจิทัลก็คือการที่มันมีจำนวนไม่จำกัด พวกมันสามารถถูกทำซ้ำได้อย่างไม่รู้จบ และด้วยเหตุนั้นจึงทำให้เป็นไปไม่ได้ที่จำสร้างเงินในรูปแบบดิจิทัลได้เพราะการส่งเงินก็จะเป็นเพียงคัดลอกเงินเพิ่มขึ้นนั่นเอง เพื่อป้องกันปัญหาจากการใช้เงินซ้ำ (double-spending) การชำระเงินในรูปแบบอิเล็คโทรนิกทั้งหมดจำเป็นต้องกระทำผ่านตัวกลาง เนื่องจากมันไม่มีทางใดเลยที่จะรับประกันได้ว่าผู้จ่ายเงินนั้นจะมีความซื่อสัตย์ และจะไม่ใช่เงินจำนวนเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยไม่มีบุคคลที่สามที่คอยตรวจสอบดูแลความถูกต้องของบัญชีที่จะสามารถยืนยันความสมบูรณ์ถูกต้องของธุรกรรมที่เกิดขึ้นได้ การทำธุรกรรมด้วยเงินสดถูกจำกัดอยู่เพียงในโลกกายภาพที่ผู้คนสามารถสัมผัสกันได้โดยตรง ส่วนการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลทั้งหมดจำเป็นต้องกระทำภายใต้การควบคุมดูแลของบุคคลที่สาม
หลังจากการลองผิดลองถูกเป็นเวลาหลายปีโดยโปรแกรมเมอร์หลายต่อหลายคน และด้วยการนำเอาเทคโนโลยีจำนวนมากมาผสมผสานกัน บิตคอยน์จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นแนวทางแก้ปัญหาทางวิศวกรรมชิ้นแรกที่สามารถทำให้ผู้คนสามารถทำการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางเป็นบุคคลที่สามที่เชื่อถือได้ ด้วยการเป็นวัตถุทางดิจิทัลชนิดแรกที่มีจำนวนจำกัดอย่างตรวจสอบได้ บิตคอย์จึงเป็นตัวอย่างแรกของเงินสดดิจิทัลนั่นเอง
การทำธุรกรรมผ่านตัวกลางที่น่าเชื่อถือนั้นมีข้อจำกัดอยู่หลายประการที่ทำให้เงินสดดิจิทัลเป็นคำตอบที่ดีกว่าสำหรับหลายต่อหลายคน การมีบุคคลที่สามนั้นโดยธรรมชาติแล้วย่อมหมายถึงการเพิ่มจุดอ่อนในเชิงความปลอดภัยเพิ่มขึ้น1 การนำเอาบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมของคุณย่อมเป็นการเพิ่มความเสี่ยงขึ้นโดยธรรมชาติเนื่องจากมันเป็นการเปิดโอกาสให้เกิดการจารกรรมหรือปัญหาทางเทคนิคเพิ่มขึ้นนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นการชำระเงินผ่านตัวกลางยังส่งผลให้ผู้มีส่วนร่วมในธุรกรรมนั้นตกเป็นเป้าของการสอดแนมและการกีดกันโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองอีกด้วย พูดในอีกนัยหนึ่งก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เราต้องใช้การชำระเงินรูปแบบดิจิทัลแบบใดก็ตาม เราไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยนอกจากที่จะต้องเชื่อใจบุคคลที่สาม และผู้มีอำนาจทางการเมืองคนใดก็ตามที่มีอำนาจควบคุมบุคคลที่สามนั้น ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงที่การชำระเงินนั้นจะถูกยับยั้งโดยผู้มีอำนาจทางการเมืองภายใต้ข้ออ้างของความปลอดภัย การก่อการร้าย หรือการฟอกเงิน ซ้ำร้าย การชำระเงินผ่านตัวกลางยังมาพร้อมกับความเสี่ยงต่อการฉ้อโกงซึ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมสูงขึ้นและส่งผลให้ธุรกรรมจำเป็นต้องใช้เวลานานขึ้นกว่าจะเสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์
พูดอีกอย่างก็คือ การชำระเงินผ่านตัวกลางทำให้เงินสูญเสียคุณสมบัติจำนวนมากของการเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของเงินซึ่งมีความสภาพคล่องสูงสะดวกต่อการซื้อขายแลกเปลี่ยนเมื่อใดก็ได้ที่เจ้าของเงินต้องการ คุณสมบัติที่พบเห็นได้บ่อยครั้งที่สุดในเงินแต่ละรูปแบบในประวัติศาสตร์คือความไร้เอกลักษณ์ (เงินแต่ละหน่วยมีลักษณะเหมือนๆกัน ใช้แทนกันได้) และสภาพคล่อง (ความสามารถในการขายได้อย่างรวดเร็วที่ราคาตลาด) ผู้คนเลือกเงินที่ไร้เอกลักษณ์และมีสภาพคล่องเพื่อรักษาอธิปไตยทางการเงินของพวกเขา เงินที่มีอธิปไตยนั้นมีสิ่งที่จำเป็นต่อการทำการใช้จ่ายอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว กล่าวคือ: ความต้องการที่จะครอบครองมันมีสูงกว่าความสามารถในการควบคุมมัน
ขณะที่การชำระเงินผ่านตัวกลางทำให้เงินเสียคุณสมบัติที่ทำให้มันเป็นที่ต้องการไปเป็นบางส่วน การชำระเงินด้วยเงินสดกลับไม่มีข้อเสียเหล่านี้ แต่เนื่องด้วยการค้าขายและการจ้างงานเกิดขึ้นผ่านระยะทางที่ไกลขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพัฒนาการทางการติดต่อสื่อสารในปัจจุบัน การทำธุรกรรมด้วยเงินสดจึงกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นทุกวัน การเปลี่ยนมาสู่โลกแห่งธุรกรรมดิจิทัลทำให้ผู้คนสูญเสียอธิปไตยทางการเงินของพวกเขามากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาต้องตกอยู่ใต้อำนาจการควบคุมของบุคคลที่สามที่เขาจำเป็นต้องเชื่อถือโดยไม่มีทางเลือก ยิ่งไปกว่านั้น การออกห่างจากทองคำซึ่งเป็นเงินที่ไม่มีใครสามารถผลิตได้ง่ายๆ มาสู่เงินของรัฐบาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของธนาคารกลางโดยสมบูรณ์ยิ่งทำให้ผู้คนสูญเสียอธิปไตยในความมั่งคั่งและส่งผลให้พวกเขาไม่มีทางหนีพ้นจากการกร่อนสลายของมูลค่าของเงินของพวกเขาในขณะที่ธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นมาเพื่อนำมาสนับสนุนปฏิบัติการต่างๆของรัฐบาล มันกลายเป็นเรื่องที่ยากขึ้นเรื่อยๆที่จะทำการสั่งสมเงินทุนและความมั่งคั่งโดยไม่ได้รับอนุญาติจากธนาคารที่คอยผลิตเงินนั้นเพิ่มขึ้นอยู่ตลอดเวลา
แรงผลักดันของซาโตชิ นากาโมโตะในการสร้างบิตคอยน์ขึ้นมานั้นคือการสร้าง “เงินอิเล็คโทรนิค ที่มีลักษณะการทำงานแบบบุคคล-ต่อ-บุคคลโดยสมบูรณ์” ที่จะไม่ต้องอาศัยความเชื่อใจในบุคคลที่สามในการทำธุรกรรม และที่ปริมาณอุปทานของมันจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่ว่าใครก็ตาม พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ บิตคอยน์จะนำเอาคุณสมบัติอันเป็นที่ต้องการของเงินสดในรูปแบบกายภาพ (การไร้ตัวกลาง, ความเสร็จสิ้นสมบูรณ์ในการทำธุรกรรม) มาสู่โลกดิจิทัล และนำมันมาผนวกเข้ากับนโยบายทางการเงินอันแข็งแกร่งที่ไม่สามารถถูกควบคุมเปลี่ยนแปลงไปทำให้สร้างเงินเฟ้อที่ไม่ได้คาดคิดเพื่อผลประโยชน์ของบุคคลภายนอกบนความเสียหายของผู้เป็นเจ้าของมันได้ นากาโมโตะประสบความสำเร็จในการสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาด้วยการนำเอาเทคโนโลยีที่สำคัญแต่ยังมีน้อยคนที่เข้าใจจำนวนหนึ่งมารวมเข้าด้วยกัน นั่นก็คือ: โครงข่ายกระจายศูนย์แบบบุคคล-ต่อ-บุคคลที่ไม่มีจุดศูนย์กลางที่เป็นจุดอ่อน(distributed peer-to-peer network) การแฮช(hashing) ลายเซ็นต์ดิจิทัล(digital signature) และ พรูฟ-ออฟ-เวิร์ค(proof-of-work) 2
นากาโมโตะนำเอาความจำเป็นในการพึ่งพาบุคคลที่สามออกไปด้วยการสร้างบิตคอยน์ขึ้นมาบนพื้นฐานของการใช้หลักฐานและการตรวจสอบที่ละเอียดและแข็งแกร่ง มันไม่ผิดที่จะพูดว่าลักษณะสำคัญหลักในการทำงานของบิตคอยน์คือกลไกในการตรวจสอบ และเพราะเหตุนั้นเองบิตคอยน์จึงสามารถกำจัดความต้องการความเชื่อถือออกไปได้อย่างสิ้นเชิง3 ทุกธุรกรรมจำเป็นที่จะต้องถูกบันทึกโดยทุกคนในโครงข่ายเพื่อให้ทุกคนมีบัญชียอดเงินและบันทึกธุรกรรมต่างๆที่เหมือนกัน เมื่อใดที่สมาชิกในโครงข่ายทำการส่งเงินจำนวนหนึ่งไปให้สมาชิกอีกคนหนึ่ง สมาชิกทุกคนในโครงข่ายจะสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ทำการส่งเงินมีเงินเพียงพอที่จะทำธุรกรรมดังกล่าว และโหนดต่างๆก็จะแข็งขันกันเพื่อที่จะเป็นคนแรกที่จะเพิ่มเติมข้อมูลใหม่ๆลงในบัญชีในรูปของบล็อคที่มีธุรกรรมจำนวนมากทุกๆสิบนาที การที่โหนดจะทำการบันทึกบล็อคของธุรกรรมใหม่ๆลงในบัญชี เขาจำเป็นต้องใช้กำลังในการคำนวณสมการทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อนที่ยากต่อการคำนวณแต่กลับสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้อย่างง่ายดาย
นี่คือหลักการทำงานของระบบพรูฟ-ออฟ-เวิร์ค (PoW) และมีเพียงโหนดที่สามารถให้คำตอบที่ถูกต้องเท่านั้นที่จะสามารถเพิ่มบล็อคใหม่ลงไปในบัญชีและได้รับการตรวจสอบความถูกต้องโดยสมาชิกของโครงข่ายทุกคนได้ แม้โจทย์ทางคณิตศาสตร์เหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตัวธุรกรรมบิตคอยน์ก็ตามแต่มันเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับการทำงานของระบบเนื่องจากมันจะช่วยบังคับให้โหนดที่ทำการตรวจสอบธุรกรรมจำเป็นต้องสูญเสียพลังงานในการประมวลผลที่จะเสียเปล่าไปหากเขาได้สอดใส่ธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องเข้ามาในบล็อคด้วยนั่นเอง โหนดอื่นๆในโครงข่ายจะทำการลงคะแนนเสียงเพื่อยืนยันความถูกต้องของบล็อค และเมื่อเสียงส่วนใหญ่ได้ยอมรับบล็อคใหม่แล้วโหนดก็จะเริ่มทำการบรรจุดธุรกรรมใหม่ๆลงในบล็อคถัดไปและทำการแวลผลพรูฟ-ออฟ-เวิร์คสำหรับบล็อคต่อไป และที่สำคัญ โหนดที่ทำการบันทึกบล็อคที่มีข้อมูลถูกต้องลงในโครงข่ายจะได้รับรางวัลตอบแทนที่ประกอบไปด้วยบิตคอยน์ที่เกิดขึ้นใหม่พร้อมๆกับค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมจากที่มาจากผู้ที่ต้องการส่งเงินนั่นเอง
กระบวนการนี้คือกระบวนการที่เรียกว่าการขุดเหมืองเฉกเช่นการขุดเหมืองหาโลหะอันมีค่า และนี่จึงเป็นเหตุที่ทำให้โหนดที่ทำการคำนวณพรูฟ-ออฟ-เวิร์คจึงถูกเรียกว่านักขุดเหมือง รางวัลที่ได้จากการสร้างบล็อคเป็นค่าตอบแทนนักขุดแลกกับทรัพยกรที่พวกเขาใช้ในการประมวลผลพรูฟ-ออฟ-เวิร์ค ในขณะที่ในระบบธนาคารกลางสมัยใหม่นั้นเงินที่ผลิตขึ้นมาใหม่จะถูกนำไปใช้ในการปล่อยกู้และสนับสนุนการใช้จ่ายภาครัฐ แต่ในระบบของบิตคอยน์นั้นเงินที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จะตกสู่ผู้คนที่อุทิศทรัพยากรในการอัพเดตบัญชีเท่านั้น นากาโมโตะได้เขียนโปรแกรมบิตคอยน์ไว้ให้มีบล็อคถูกสร้างขึ้นใหม่ทุกๆสิบนาทีโดยประมาณ โดยในแต่ละบล็อคจะมีรางวัลตอบแทนจำนวน 50 บิตคอยน์ในช่วงสี่ปีแรกจากนั้นจึงลดลงครึ่งหนึ่งเหลือเพียง 25 บิตคอยน์และจะลดลงครึ่งหนึ่งไปเรื่อยๆ ทุกๆสี่ปี
ปริมาณของบิตคอยน์ที่สามารถถูกสร้างขึ้นมาได้นั้นถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าในโปรแกรมและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าจะใช้ความพยายามหรือพลังงานในการประมวลผลพรูฟ-ออฟ-เวิร์คมากเท่าไรก็ตาม สิ่งที่ป้องกันไม่ให้สามารถผลิตบิตคอยน์เพิ่มได้มากกว่าอัตราที่กำหนดนี้เรียกว่ากระบวนการปรับระดับความยากง่ายอัตโนมัติ (Automatic difficulty adjustment) ซึ่งอาจเป็นส่วนที่อัจฉริยะที่สุดในการออกแบบระบบของบิตคอยน์ เมื่อผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆหันมาเลือกที่จะเป็นเจ้าของบิตคอยน์ก็จะส่งผลให้ราคาตลาดของบิตคอยน์พุ่งสูงขึ้นซึ่งจะทำให้การขุดเหรียญใหม่ๆมีผลกำไรสูงขึ้นตามมาด้วย ซึ่งจะส่งผลให้นักขุดเหมืองใช้ทรัพยากรไปกับการประมวลผลพรูฟ-ออฟ-เวิร์คเพิ่มขึ้น ยิ่งมีนักขุดมากขึ้นก็แปลว่ามีกำลังในการประมวลผลโดยรวมมากขึ้นซึ่งจะทำให้การหาคำตอบสำหรับพรูฟ-ออฟ-เวิร์คนั้นใช้เวลาสั้นลงส่งผลให้อัตราการผลิตเหรียญใหม่ของบิตคอยน์เพิ่มขึ้น แต่เมื่อกำลังการประมวลผลเพิ่มขึ้น บิตคอยน์ก็จะทำการยกระดับความยากของการหาพรูฟ-ออฟ-เวิร์คในการปลดล็อคผลตอบแทนการขุดเหมืองเพื่อที่จะทำให้มั่นใจได้ว่าแต่ละบล็อคนั้นยังจะต้องใช้เวลาราวสิบนาทีในการผลิตอยู่ตามเดิม
การปรับระดับความยากง่ายนี้เป็นเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการสร้างเงินที่ผลิตได้ยากและจำกัดอัตราสต็อค-ทู-โฟลว์ไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และมันทำให้บิตคอยน์นั้นมีความแตกต่างจากเงินอื่นๆในระดับพื้นฐาน ในขณะที่การเพิ่มขึ้นของมูลค่าของเงินสกุลใดก็ตามจะนำมาสู่การอุทิศทรัพยากรไปกับการผลิตเงินนั้นเพิ่มเติม แต่เมื่อมูลค่าของบิตคอยน์เพิ่มสูงขึ้น ความพยายามในการผลิตบิตคอยน์เพิ่มขึ้นไม่ได้นำมาสู่การผลิตบิตคอยน์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด มันเพียงแต่เป็นการเพิ่มระดับของกำลังในการประมวลผลที่จำเป็นต่อการบันทึกธุรกรรมที่สมบูรณ์ลงในโครงข่ายบิตคอยน์เท่านั้น ซึ่งจะมีผลเพียงการทำให้โครงข่ายมีความมั่นคงและยากต่อการแทรกแซงยิ่งขึ้นนั่นเอง บิตคอยน์เป็นเงินที่สร้างยากที่สุดที่เคยมีมา เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของมูลค่าของมันไม่สามารถทำให้อุปทานของมันเพิ่มขึ้นได้เลย มันเพียงแต่ส่งผลให้โครงข่ายของมันปลอดภัยและทนทานต่อการโจมตีมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับเงินประเภทอื่นๆทั้งหมดแล้ว เมื่อมูลค่าของมันสูงขึ้น ใครก็ตามที่สามารถผลิตมันได้ก็จะเริ่มผลิตมันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหินราย เปลือกหอย เงิน ทอง ทองแดง หรือเงินของรัฐบาล ทุกคนจะมีแรงจูงใจที่จะพยายามผลิตมันเพิ่มขึ้นเสมอ ยิ่งเงินนั้นผลิตเพิ่มขึ้นได้ยากเท่าใดเมื่อราคาของมันเพิ่มขึ้น มันก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับและใช้งานโดยทั่วกัน และสังคมก็จะยิ่งเจริญรุ่งเรืองเนื่องจากมันจะหมายความว่าแรงงานของแต่ละคนนั้นจะถูกใช้ไปกับการสร้างประโยชน์และบริการให้กันและกัน แทนที่จะไปจมอยู่กับการผลิตเงินซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับสังคมเนื่องจากไม่ว่าปริมาณเงินมากน้อยเท่าไรก็ย่อมเพียงพอต่อการใช้งานในสังคมอยู่แล้ว ทองคำกลายมาเป็นเงินสกุลหลักในทุกๆสังคมที่มีความเจริญได้ก็เพราะว่ามันเป็นเงินที่ผลิตได้ยากที่สุดนั่นเอง แต่ระบบปรับระดับความยากง่ายของบิตคอยน์นั้นทำให้มันเป็นเงินที่ผลิตได้ยากยิ่งขึ้นไปอีก การพุ่งสูงขึ้นของราคาทองคำอย่างมหาศาลนั้นในระยะยาวยังส่งผลให้เกิดการเพิ่มอัตราการผลิตทองคำขึ้นได้ แต่ไม่ว่าราคาของบิตคอยน์จะสูงเท่าไรก็ตาม อุปทานของมันกลับไม่เปลี่ยนแปลงและความแข็งแกร่งของโครงข่ายก็มีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น
ความปลอดภัยของบิตคอยน์นั้นตั้งอยู่บนความไม่สมมาตรกันระหว่างค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในการสร้างพรูฟ-ออฟ-เวิร์คที่จำเป็นต่อการบันทึกธุรกรรมลงในระบบบัญชี กับค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่ถูกบันทึก มันใช้พลังงานไฟฟ้าและกำลังในการประมวลผลที่สูงขึ้นเรื่อยๆในการบันทึกธุรกรรม แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมที่ถูกบันทึกนั้นแทบจะเป็นศูนย์และจะเป็นเช่นนั้นไปตลอดไม่ว่าบิตคอยน์จะเติบโตขึ้นมากเท่าใด การพยายามที่จะบันทึกธุรกรรมที่ไม่ถูกต้องลงในระบบบัญชีบิตคอยน์นั้นคือการใช้ทรัพยากรอย่างสูญเปล่าไปกับการหาพรูฟ-ออฟ-เวิร์คอย่างยากลำบากเพียงเพื่อที่จะให้ระบบปฏิเสธธุรกรรมดังกล่าวอย่างง่ายดาย ส่งผลให้นักขุดเหมืองคนนั้นไม่ได้รับผลรางวัลตอบแทนใดๆ
ยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป มันก็จะยิ่งเป็นการยากขึ้นเรื่อยๆที่จะทำการแก้ไขบัญชีย้อนหลัง เนื่องจากพลังงานที่จำเป็นต้องใช้นั้นจะต้องมากกว่าพลังงานทั้งหมดที่ถูกใช้ไปแล้วซึ่งมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป กระบวนการที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆนี้ได้เติบโตขึ้นจนจำเป็นต้องใช้พลังงานไฟฟ้าและกำลังในการประมวลผลอันมหาศาล แต่มันก็ทำให้เกิดระบบบัญชีที่บันทึกความเป็นเจ้าของและธุรกรรมทั้งหมดที่ไร้ข้อกังขาใดๆ โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อถือในบุคคลที่สามใดๆเลย บิตคอยน์นั้นถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของการตรวจสอบ 100% และความเชื่อถือ 0% 4
ระบบบัญชีร่วมของบิตคอยน์นั้นมีความคล้ายกับหินรายแห่งเกาะแยปที่เราได้พูดถึงไปในบทที่ 2 ที่การทำธุรกรรมสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ตัวเงินจริงๆนั้นไม่จำเป็นต้องถูกเคลื่อนย้ายแต่อย่างใด ในขณะที่บนเกาะแยปนั้นชาวเกาะจะต้องมาชุมนุมร่วมกันเพื่อทำการประกาศการโอนย้ายความเป็นเจ้าของของหินจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง และทั้งเกาะก็จะรู้ว่าใครเป็นเจ้าของก้อนหินก้อนไหน ในระบบของบิตคอยน์ สมาชิกในระบบจะทำการประกาศธุรกรรมของเขาให้เป็นที่ทราบโดยทั่วกันไปทั้งโครงข่าย โดยสมาชิกคนอื่นๆก็จะทำการตรวจสอบว่าผู้ประกาศมีเงินเพียงพอที่จะทำธุรกรรมได้หรือไม่ และส่งมันให้กับผู้รับ ความเป็นเจ้าของของเหรียญนั้นไม่ได้ถูกกำหนดด้วยชื่อของเจ้าของ แต่จะถูกกำหนดโดยพับลิคแอดเดรสและสิทธิในการใช้เงินที่อยู่ในแอดเดรสก็จะถูกคุ้มกันอยู่ภายใต้การเป็นเจ้าของไพรเวทคีย์ ซึ่งเป็นชุดตัวอักษรที่ทำหน้าที่คล้ายกับรหัสผ่านนั่นเอง
ในขณะที่ขนาดอันใหญ่โตของหินรายทำให้การแบ่งมันเป็นหน่วยย่อยๆเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก บิตคอยน์กลับไม่มีปัญหาดังกล่าว อุปทานของบิตคอยน์นั้นมีจำนวนสูงที่สุดอยู่ 21,000,000 เหรียญ ซึ่งแต่ละเหรียญสามารถแบ่งออกได้เป็น 100,000,000 ซาโตชิ ทำให้มันมีความสะดวกในการซื้อขายในเชิงปริมาณเป็นอย่างมาก ในขณะที่หินของชาวแยปนั้นเหมาะกับการใช้งานในธุรกรรมจำนวนไม่มากบนเกาะเล็กๆที่มีประชากรเพียงไม่กี่คนที่ล้วนรู้จักกันและกันเป็นอย่างดี บิตคอยน์นั้นมีความสะดวกในการซื้อขายในเชิงระยะทางที่เหนือกว่าเป็นอย่างมาก เนื่องจากใครก็ตามในโลกนี้ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบอินเตอร์เน็ตได้ก็จะสามารุเข้าถึงระบบบัญชีดิจิทัลของบิตคอยน์ได้อย่างง่ายดาย
สิ่งที่ทำให้โหนดแต่ละโหนดของบิทคอยน์มีความซื่อสัตย์คือการที่หากพวกเขาไม่ซื่อสัตย์เขาจะถูกจับได้ในทันที ทำให้การพยายามเล่นไม่ซื่อนั้นมีผลเช่นเดียวกับการโยนเงินทิ้งโดยไม่ได้อะไรตอบแทนนั่นเอง ในภาพรวม สิ่งที่ป้องกันไม่ให้สมาชิกส่วนใหญ่ของโครงข่ายรวมหัวกันโกงระบบคือการที่หากพวกเขาสามารถทำลายความมั่นคงของระบบบัญชีธุรกรรมได้สำเร็จ มันก็จะเป็นการทำลายจุดขายหลักของบิตคอยน์ลงโดยสิ้นเชิงและส่งผลให้มูลค่าของบิตคอยน์ร่วงหล่นลงจะไม่เหลือค่าใดๆ
การสมรู้ร่วมคิดนั้นใช้ค่าใช้จ่ายจำนวนมาก แต่มันกลับทำให้ทรัพย์ที่ได้จากการปล้นกลายเป็นสิ่งไร้ค่า หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ บิตคอยน์อาศัยแรงจูงใจทางเศรษฐกิจในการทำให้การฉ้อโกงนั้นมีต้นทุนที่สูงกว่าผลรางวัลหลายเท่านั้นเอง
ไม่มีการพึ่งพาอาศัยผู้ใดผู้หนึ่งในการดูแลระบบบัญชี และไม่มีผู้ใดผู้หนึ่งที่จะสามารถแก้ไขบันทึกในบัญชีนี้ได้โดยไม่ได้รับความเห็นชอบโดยเสียงส่วนใหญ่ของผู้ใช้งานระบบ สิ่งที่เป็นตัวกำหนดความถูกต้องสมบูรณ์ของธุรกรรมนั้นไม่ใช่คำพูดของผู้มีอำนาจเพียงผู้เดียว แต่กลายเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่บนโหนดต่างๆในโครงข่าย
ราล์ฟ เมอร์เคิล ผู้ประดิษฐ์โครงสร้างข้อมูลต้นไม้ของเมอร์เคิลซึ่งบิตคอยน์ได้นำมาใช้งานในระบบการบันทึกธุรกรรมได้กล่าวอธิบายถึงบิตคอยน์ไว้ในแง่มุมที่น่าสนใจว่า:
บิตคอยน์เป็นตัวอย่างแรกของสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่ มีมีชีวิตและหายใจอยู่บนอินเตอร์เน็ต มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะมันสามารถจ้างผู้คนให้คอยรักษาชีวิตมันเอาไว้ได้ มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะมันให้บริการที่มีประโยชน์ที่ผู้คนพร้อมที่จะจ้างให้มันทำ มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะไม่ว่าใครก็สามารถติดตั้งและใช้งานสำเนาของโหนดของมันที่ไหนก็ได้ มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะเพราะทุกสำเนาของมันพูดคุยสื่อสารกันอยู่ตลอดเวลา มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะหากสำเนาใดสำเนาหนึ่งของมันมีความผิดเพี้ยนใดๆเกิดขึ้นมันก็จะถูกตัดทิ้งได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่มีเยื่อใยใดๆ มันมีชีวิตอยู่ได้เพราะมันมีความโปรงใสโดยมูลฐาน ไม่ว่าใครก็สามารถดูโค้ดของมันและดูได้ว่ามันทำอะไรอย่างไรอย่างตรงไปตรงมา
มันไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ มันไม่สามารถถูกโต้แย้งได้ มันไม่สามารถถูกแก้ไขได้ มันไม่สามารถถูกทำให้เสื่อมลงได้ มันไม่สามารถถูกหยุดยั้งได้ มันไม่สามารถถูกขัดจังหวะได้เสียด้วยซ้ำ
หากสงครามนิวเคลียร์ทำลายโลกของเราไปครึ่งหนึ่ง มันก็จะยังมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ผิดเพี้ยน บิดเบือน มันจะยังคงให้บริการของมันต่อไป มันยังจะจ้างผู้คนให้รักษาชีวิตของมันเอาไว้ต่อไป
ทางเดียวที่จะปิดมันลงได้คือการทำลายทุกเซิร์ฟเวอร์ที่มีสำเนาของมันอยู่ ซึ่งทำได้ยากเนื่องจากมีเซิร์ฟเวอร์จำนวนมากที่เป็นที่ตั้งของมันกระจายอยู่ในหลายประเทศและมีผู้คนจำนวนมากที่ต้องการใช้มัน
ทางเดียวที่จะฆ่ามันได้อย่าแท้จริงคือการทำให้บริการของมันไร้ประโยชน์และล้าหลังจนไม่มีใครอยากที่จะใช้มัน ล้าหลังจนไม่มีใครอยากที่จะจ่ายเงินให้มัน ไม่มีใครอยากที่จะเป็นที่ตั้งให้มัน แล้วมันก็จะไม่มีเงินที่จะเอามาจ่ายใคร จากนั้นมันถึงจะอดตายไปเอง
แต่ตราบใดที่ยังมีผู้คนที่ต้องการใช้มัน มันยากมากที่จะฆ่า หรือบิดเบือน หรือหยุดยั้ง หรือขัดจังหวะมันได้ 6
บิตคอยน์เป็นเทคโนโลยีที่อยู่รอดได้ด้วยเหตุผลเดียวกับการที่ล้อ มีด โทรศัพท์ หรือเทคโนโลยีอื่นได้สามารถอยู่รอดมาได้ นั่นคือการที่มันให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้งานมันนั่นเอง ผู้ใช้งาน นักขุด และผู้ดูแลโหนด ต่างได้รับผลตอบแทนทางเศรษฐกิจจากการปฏิสัมพันธ์กับบิตคอยน์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้มันยังอยู่รอดได้ ยังเป็นเรื่องที่น่าเอ่ยถึงอีกว่าทุกคนและทุกฝ่ายที่ทำให้บิตคอยน์สามารถทำงานได้ล้วนแล้วแต่ไม่มีความจำเป็นต่อการทำงานของบิตคอยน์แต่อย่างใดในระดับบุคคล ไม่มีใครมีความสำคัญอย่างขาดไม่ได้ต่อบิตคอยน์ และหากใครต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงบิตคอยน์ บิตคอยน์ก็ยังสามารถที่จะทำงานต่อไปได้อย่างเดิมโดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะพูดอะไร สิ่งนี้จะช่วยให้เราทำความเข้าใจถึงธรรมชาติที่ไม่สามารถยับยั้งได้ของบิตคอยน์ในบทที่ 10 และเหตุใดความพยายามในการทำการเปลี่ยนแปลงโค้ดของบิตคอยน์นั้นแทบจะเลี่ยงไม่ได้ที่จะส่งผลให้เกิดการสร้างบิตคอยน์เก๊ขึ้นมาแทน ซึ่งจะไม่สามารถสร้างสมดุลย์ของแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่ทำให้บิตคอยน์สามารถทำงานได้และไม่สามารถยับยั้งได้
บิตคอยน์ยังอาจถูกมองได้ว่าเป็นบริษัทที่ปกครองตนเองอย่างอิสระซึ่งเกิดขึ้นเองโดยพร้อมเพรียงทางธรรมชาติอันมาพร้อมกับเงินและระบบโครงข่ายการชำระเงินรูปแบบใหม่ บริษัทนี้ไม่มีผู้บริหารหรือโครงสร้างองค์กรใดๆ เนื่องจากการตัดสินใจทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นอัตโนมัติและถูกกำหนดเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว นักเขียนโปรแกรมอาสาสมัครในโครงการโอเพ่นซอร์สสามารถที่จะเสนอการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงโค้ดได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานว่าจะเลือกใช้ข้อปรับปรุงเหล่านั้นหรือไม่ จุดขายของบริษัทนี้คือการที่อุปทานของเงินของมันนั้นไม่มีความยืดหยุ่นแต่อย่างใดในการตอบสนองต่อความต้องการและราคาที่เพิ่มขึ้น หากแต่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นมีผลเพียงการทำให้ระบบมีความปลอดภัยยิ่งขึ้นเนื่องจากระบบปรับระดับความยากง่ายในการขุด นักขุดลงทุนกำลังไฟฟ้าและกำลังในการประมวลผลในการสร้างโครงสร้างพื้นฐานของกำลังขุดที่ช่วยปกป้องระบบเนื่องจากพวกเขาได้ค่าตอบแทนในการทำเช่นนั้น
ผู้ใช้งานบิตคอยน์จ่ายค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมและซื้อบิตคอยน์จากนักขุดเนื่องจากพวกเขาต้องการใช้งานเงินสดดิจิทัลและได้รับผลประโยชน์จากมูลค่าที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา และด้วยการทำเช่นนั้นพวกเขาก็ทำการสนับสนุนเงินทุนให้กับนักขุดในการทำให้ระบบทำงาน การลงทุนในอุปกรณ์การขุดเหมือง PoW ทำให้โครงข่ายมั่นคงยิ่งขึ้นและสามารถมองได้ว่าเป็นทุนทรัพย์ของบริษัท ยิ่งความต้องการในระบบเติบโตขึ้นเท่าใด มูลค่าของผลตอบแทนการขุดและค่าธรรมเนียมก็จะสูงขึ้นเท่านั้น ซึ่งย่อมจะทำให้ต้องใช้กำลังประมวลผลเพิ่มขึ้นในการผลิตเหรียญใหม่ ทำให้บริษัทมีทุนสูงขึ้น ส่งผลให้ระบบโครงข่ายมั่นคงและเหรียญผลิตได้ยากยิ่งขึ้น มันเป็นความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่สร้างประโยชน์และผลกำไรให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งได้ส่งผลให้โครงข่ายเจริญเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ
ด้วยการออกแบบเชิงเทคโนโลยีเช่นนี้นี่เอง นากาโมโตะจึงสามารถประดิษฐ์ความขาดแคลนทางดิจิทัลได้สำเร็จ บิตคอยน์คือตัวอย่างของสินค้าดิจิทัลชนิดแรกที่มีความขาดแคลนและไม่สามารถผลิตเพิ่มได้โดยไม่จำกัด แม้การส่งวัตถุดิจิทัลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งในโครงข่ายดิจิทัลจะเป็นเรื่องง่ายดาย ดังที่เกิดขึ้นกับการส่งอีเมล ข้อความ หรือไฟล์ต่างๆ แต่กระบวนการเหล่านี้เปรียบได้กับการคัดลอกข้อมูลมากกว่าการส่งข้อมูล เนื่องจากตัววัตถุดิจิทัลนั้นยังคงอยู่กับผู้ส่งและยังสามารถทำซ้ำได้อย่างไม่จำกัด บิตคอยน์จึงเป็นตัวอย่างของสินค้าดิจิทัลชนิดแรกที่การส่งมันออกไปทำให้มันไม่ได้อยู่ในมือของเจ้าของเดิมอีกต่อไป
ยิ่งไปกว่าความจำกัดทางดิจิทัล บิตคอยน์ยังเป็นสิ่งแรกที่มีความขาดแคลนโดยสมบูรณ์ เป็นสินค้าที่มีสภาพคล่องเพียงชนิดเดียวที่มีปริมาณจำกัดที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ก่อนจะมีการคิดค้นบิตคอยน์ขึ้นนั้น ความขาดแคลนเป็นเป็นค่าเชิงเปรียบเทียบมาเสมอ ไม่เคยมีอะไรที่มีปริมาณจำกัดโดยสมบูรณ์ มันเป็นเรื่องที่ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าสินค้าเชิงกายภาพใดๆนั้นจะมีจำนวนจำกัด หรือขาดแคลนโดยสมบูรณ์ได้ เพราะขีดจำกัดในการผลิตสินค้าใดสินค้าหนึ่งนั้น ไม่เคยขึ้นอยู่กับปริมาณของสินค้านั้นที่มีอยู่ในโลก แต่ขึ้นอยู่กับความพยายามและเวลาที่ต้องใช้ในการผลิตมันต่างหาก ความขาดแคลนโดยสมบูรณ์ทำให้บิตคอยมีความสะดวกในการซื้อขายเชิงเวลาที่สูงมาก นี่เป็นประเด็นสำคัญที่จะได้รับการอธิบายเพิ่มเติมในบทที่ 9 เกี่ยวกับบทบาทของบิตคอยน์ในฐานะแหล่งเก็บรักษามูลค่า