ในวิธีการทั้งหมดที่จะควบคุมพลังของ Blockchain หนึ่งในนั้นคือกระตุ้นดอกเบี้ย(piqued interest)ข้ามพรมเเดนและอุตสาหกรรมที่มีความเป็นไปได้ในการพัฒนาระบบนิเวศของ B2B2C การศึกษาของ McKinsey ปี 2017 ได้รายงานถึงความสำคัญของระบบนิเวศในอนาคต ชี้ให้เห็นว่าระบบนิเวศใหม่จะเกิดขึ้นแทนที่อุตสาหกรรมดั้งเดิมด้วยมูลค่ารายได้มากกว่า 50 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2025 มันจะไม่เหมือนในยุค e-commerce ที่ศักยภาพในการเติบโตอย่างมากเเละ disruption ด้วยระบบนิเวศของการกระจายอำนาจแบบP2Pยังไม่ถูกค้นพบ
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!*** B2B มาจากคำว่า Business to Business หมายถึง ธุรกิจต่อธุรกิจ รูปแบบการดำเนินงานระหว่างธุรกิจต่อธุรกิจ
*** B2C มาจากคำว่า Business to Customer หมายถึง ธุรกิจต่อบุคคล รูปแบบการดำเนินงาน ระหว่างธุรกิจต่อบุคคล เช่นการที่เราซื้อสินค้ากับบริษัท ก็ถือว่าเป็น B2C ถ้าเราซื้อสินค้าผ่านเพื่อนของเรา โดยเพื่อนของเราเปิดร้านค้าอีกที อันนี้ถือว่าเป็น C2C การค้าระหว่างบุคคลต่อบุคคล
ในการเปิดใช้งานการทำธุรกรรมแบบ peer-to-peer ที่มีประสิทธิภาพผ่าน APIs ที่ใช้ร่วมกัน ศักยภาพของระบบนิเวศเเบบกระจายอำนาจของ smart contract มีมากมาย สิ่งนี้ยังเกี่ยวข้องกับการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่(new business models)ในกรอบของการแข่งขันแบบมีส่วนร่วมโดยมีคู่แข่งมารวมตัวกันเพื่อสร้างระบบนิเวศที่เชื่อมต่อผู้ใช้ต่างๆผ่าน lifecycle ของผลิตภัณฑ์ และการให้บริการต่างๆแบบครบวงจรความสำเร็จ
ในขณะที่แนวคิดนี้ได้ดำเนินการบางอย่างในปี 2018 การทดลองนำมาซึ่งการเรียนรู้มากกว่าการทดลองช่วยระบุภาวะแทรกซ้อนในทางปฏิบัติจริง เช่น ความต้องการรูปแบบการดูแลธุรกิจที่ช่วยให้ผู้ใช้ทุกคนในระบบนิเวศสามารถออกเสียงโดยไม่ต้องมีผู้นำเเม้เเต่คนเดียว
การเรียนรู้จากการทดลองที่ไม่ก่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใดๆ ได้เปิดประตูสู่ความก้าวหน้าที่มากขึ้นในปี2019 โดยมีการพัฒนาระบบนิเวศแบบกระจายอำนาจใหม่ที่พัฒนาขึ้นภายในสิ้นปีนี้
การทรานฟอร์มเมชั่น หรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบริษัทจะเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ บริษัทไหนที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อให้อยู่รอดได้ในอนาคต ก็จะถูกกลืนหายไปพร้อมกับการเวลา เหลือไว้เพียงความทรงจำ แพลทฟอร์มการกระจายอำนาจเป็นเพียงรูปแบบนึงของ Blockchain เท่านั้น แท้จริงยังมีอีกหลายอย่าง ทั้งการตรวจสอบ หรือการจัดสรรข้อมูล หรือแม้กระทั่งการนำข้อมูลที่บันทึกไปตรวจสอบความน่าเชื่อถือ เพื่อให้นักวิเคราะห์เอาข้อมูลอันน่าเชื่อถือนี้ไปทำการวิเคราะห์ต่อ ซึ่งจะแก้ปัญหาในวงการ Data Analytics ที่ต้องกรองข้อมูลทุกครั้งก่อนเอาข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อ และเมื่อการวิเคราะห์ดีขึ้น การคาดการณ์แนวโน้มและความต้องการของมนุษย์ก็จะง่ายขึ้น คิดดูสิว่า ขนาดวันนี้ข้อมูลเท็จผสมอยู่กับข้อมูลจริง พวกแพลทฟอร์มโซเชี่ยลยังรู้เลยว่าเราชอบอะไร แล้วจะเสนออะไรขายเราดี ต่อไปถ้าข้อมูลเที่ยงตรงมากขึ้น มันจะรู้ใจเราได้น่ากลัวขนาดไหน
ธุรกิจใหม่ๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจะมีทั้งแบบ Decentralized และ Centralized แต่สิ่งสำคัญคือ การนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมไปประกอบกับธุรกิจอย่างไร ไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะต้องใช้บล็อกเชน บางบริษัทอาจจะจำเป็น แต่อีกส่วนอาจจะไม่ แต่สุดท้ายแล้ว พวกเค้าอยู่บนเศรษฐกิจเดียวกัน ดังนั้นบริษัทที่ไม่จำเป็นต้องสร้างบล็อกเชนเป็นเมนหลัก อาจจะต้องอ่านข้อมูล หรือดูข้อมูลทางการค้าของบริษัทคู่ค้าผ่านทาง Smart Contract หรือเป็นข้อมูลปกติที่ถูกจัดเก็บไว้ใน Blockchain ของบริษัทคู่ค้าก็ได้