การชำระบัญชีระหว่างประเทศและออนไลน์
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
เดิมทีนั้นทองคำเคยเป็นสื่อกลางในการชำระเงินและการเก็บรักษามูลค่าไปทั่วทั้งโลกด้วยเหตุมาจากการที่ไม่มีผู้ใดสามารถที่จะเพิ่มปริมาณอุปทานของมันได้ในจำนวนที่มากพอที่จะมีนัยสำคัญ ทองคำได้รับมูลค่าของมันจากตลาดเสรีและไม่ได้ตกเป็นหน้าที่ของใครในการรักษามูลค่านั้น เมื่อขอบเขตการสื่อสารและการเดินทางขยายตัวกว้างขึ้นในศตวรรษที่สิบเก้าทำให้จำเป็นต้องมีการทำธุรกรรมทางการเงินผ่านระยะทางที่ห่างไกลมากขึ้น ทองคำก็ย้ายออกจากมือของผู้คนเข้าไปสู่ห้องนิรภัยของธนาคาร และในที่สุดก็ตกไปสู่มือของธนาคารกลาง ภายใต้ระบบมาตรฐานทองคำในลักษณะนี้ผู้คนถือตั๋วแลกทองคำหรือเขียนเช็คที่สามารถนำไปขึ้นเงินได้โดยไม่จำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายทองคำทางกายภาพเลยแม้แต่น้อย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและความรวดเร็วในการค้าระหว่างประเทศ
เมื่อรัฐบาลได้ทำการยึดทองคำและผลิตเงินของรัฐบาลขึ้นมาเอง มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำการชำระหนี้ระหว่างบุคคลและธนาคารด้วยทองคำอีกต่อไป โดยผู้คนต้องหันมาทำการชำระหนี้กันด้วยสกุลเงินประจำชาติที่มีมูลค่าผันผวน ส่งผลให้เกิดปัญหามากมายในการค้าขายระหว่างประเทศดังที่ได้เคยกล่าวถึงในบทที่ 6 การคิดค้นบิตคอยน์ได้สร้างให้เกิดกลไกทางเลือกสำหรับการชำระเงินระหว่างประเทศที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยตัวกลางใดๆและสามารถทำงานได้โดยตัดขาดออกจากโครงสร้างพื้นฐานของระบบการเงินที่มีอยู่เดิมได้อย่างสิ้นเชิง
การที่ผู้คนสามารถเป็นผู้เปิดใช้งานโหนดของบิตคอยน์และทำธุรกรรมด้วยเงินของเขาโดยที่ไม่ต้องขออนุญาตใคร และไม่จำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนว่าเขาเป็นใครนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้บิตคอยน์และทองคำมีความแตกต่างกัน บิตคอยน์ไม่จำเป็นต้องถูกเก็บอยู่บนคอมพิวเตอร์เนื่องจากไพรเวทคีย์สำหรับเข้าถึงกองคลังบิตคอยน์ของแต่ละคนนั้นเป็นเพียงชุดตัวอักษรหรือชุดของคำที่แต่ละคนสามารถเก็บไว้ในความทรงจำได้ การเคลื่อนที่ไปยังที่ต่างๆด้วยไพรเวทคีย์ของบิตคอยน์จึงเป็นเรื่องง่ายกว่าการเคลื่อนที่เดินทางไปพร้อมกับกองทองคำ และมันยังสามารถถูกส่งข้ามซีกโลกได้อย่างง่ายดายโดยไม่มีความเสี่ยงว่าจะถูกโขมยหรือยึดไประหว่างทาง ในขณะที่รัฐบาลได้ยึดเอาทองคำของประชาชนไปและบังคับให้ประชาชนใช้เงินที่รัฐบาลบอกว่ามีทองคำหนุนหลังอยู่แต่ผู้คนสามารถที่จะเก็บบิตคอยน์ของพวกเขาเอาไว้ให้พ้นมือรัฐบาลและนำออกมาใช้เพียงจำนวนน้อยผ่านบริการที่มีตัวกลางได้ ธรรมชาติของเทคโนโลยีบิตคอยน์ทำให้รัฐบาลเสียเปรียบเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับเงินประเภทอื่นๆทั้งหมดและทำให้การริบหรือยึดเงินกระทำได้ยากขึ้นมาก
ยิ่งไปกว่านั้นการที่ผู้ใช้บิตคอยน์ทุกคนสามารถติดตามตรวจสอบบิตคอยน์ทั้งหมดบนบล็อคเชนของมันทำให้เป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผู้มีอำนาจคนใดสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ให้กู้ยืมแหล่งสุดท้ายสำหรับธนาคารที่ใช้บิตคอยน์ แม้ในวันที่มาตรฐานทองคำระดับสากลมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ถึงเงินจะสามารถนำมาแลกเปลี่ยนคืนเป็นทองคำได้แต่ธนาคารกลางก็แทบจะไม่เคยมีทองคำเพียงพอที่จะครอบคลุมอุปทานเงินทั้งหมดที่พวกเขาสร้างขึ้นมาพวกเขาจึงมีช่องว่างในการเพิ่มอุปทานเงินกระดาษเพื่อนำมาหนุนหลังเงินของพวกเขาเอง การกระทำเช่นนี้เกิดขึ้นได้ยากกว่ามากบนบิตคอยน์เนื่องจากบิตคอยน์ได้นำพาเอาความแน่นอนของเทคโนโลยีการเข้ารหัสมาสู่เทคโนโลยีการบัญชีซึ่งจะช่วยเปิดโปงธนาคารที่มีการใช้ระบบสำรองเงินสดเพียงบางส่วนให้เห็นได้ชัด
การใช้งานบิตคอยน์สำหรับการชำระเงินขนาดเล็กในอนาคตไม่น่าที่จะเกิดขึ้นบนระบบบัญชีร่วมดังที่จะอธิบายในเรื่องของการรองรับการขยายตัวของระบบในบทที่ 10 แต่น่าที่จะเกิดขึ้นบนระดับชั้นที่สอง บิตคอยน์อาจถูกมองได้ว่าเป็นสกุลเงินสำรองหลักสำหรับการทำธุรกรรมออนไลน์โดยที่สิ่งที่คล้ายกับธนาคารในโลกออนไลน์จะสร้างตั๋วเงินที่มีบิตคอยน์หนุนหลังขึ้นมาใช้งานในขณะที่พวกเขาจะเก็บกองบิตคอยน์ของพวกเขาเอาไว้อย่างปลอดภัยโดยที่ทุกคนจะสามารถตรวจสอบปริมาณบิตคอยน์ในคลังของหน่วยงานเหล่านี้ได้ตลอดเวลาและมีระบบการตรวจสอบยืนยันและระบบรับรองที่จะสามารถตรวจสอบได้ว่าไม่มีการสร้างเงินขึ้นมาเพิ่มเติมแต่อย่างใด โครงสร้างเช่นนี้จะทำให้สามารถมีธุรกรรมจำนวนนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นในโลกออนไลน์ได้โดยที่ผู้คนไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมที่สูงสำหรับการทำธุรกรรมบนบล็อคเชน
เมื่อบิตคอยน์เติบโตไปในทิศทางที่ทำให้มันมีมูลค่าตลาดและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น มันจะค่อยๆมีสภาพเหมือนกับสกุลเงินสำรองมากกว่าสกุลเงินสำหรับการใช้งานทั่วไปในแต่ละวันมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในขณะที่กำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ ขณะที่บิตคอยน์ยังมีการใช้งานเพียงในวงแคบๆเท่านั้น การทำธุรกรรมบิตคอยน์ส่วนมากก็ไม่ได้ถูกบันทึกลงบนบล็อคเชนอยู่แล้ว แต่มันเกิดขึ้นบนตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนบิตคอยน์และแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ใช้บิตคอยน์มากมายหลายชนิดเช่นเว็บไซต์สำหรับการพนันและคาสิโนออนไลน์เป็นต้น ธุรกิจเหล่านี้จะทำการบันทึกยอดบิตคอยน์ในบัญชีของลูกค้าของพวกเขาในระบบบัญชีภายในและจะทำการบันทึกธุรกรรมลงบนบล็อคเชนเมื่อลูกค้าทำการโอนบิตคอยน์เข้าหรือถอนออกเท่านั้น
ด้วยคุณสมบัติของการเป็นเงินสดดิจิทัล ข้อได้เปรียบของบิตคอยน์อาจไม่ได้อยู่ในการแทนที่เงินสด แต่อาจเป็นการทำให้สามารถทำการชำระเงินสดข้ามผ่านระยะทางไกลได้ การชำระเงินจำนวนเล็กน้อยระหว่างบุคคลที่อยู่ด้วยกันสามารถกระทำได้หลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินสด การแลกเปลี่ยนสินค้า การตอบแทนหนี้บุญคุณ บัตรเครดิต เช็คธนาคาร และอื่นๆอีกมากมาย เทคโนโลยีทางการชำระเงินในปัจจุบันมีทางเลือกสำหรับการชำระหนี้สินขนาดเล็กที่มีค่าใช้จ่ายต่ำหลากหลายวิธีให้เลือกใช้อยู่แล้ว ข้อได้เปรียบของบิตคอยน์จึงไม่น่าจะอยู่ที่การแข่งขันกับการทำธุรกรรมขนาดเล็กในระยะทางสั้นๆเหล่านี้ ข้อได้เปรียบของบิตคอยน์จึงน่าจะอยู่ที่การนำเอาความสิ้นสุดของการทำธุรกรรมด้วยเงินสดเข้ามายังในโลกดิจิทัลเสียมากกว่า บิตคอยน์ได้สร้างวิธีในการชำระหนี้ที่มีความสิ้นสุดสำหรับการชำระเงินก้อนใหญ่ข้ามผ่านระยะทางไกลหรือแม้แต่ข้ามผ่านพรมแดนให้เกิดขึ้นได้
เมื่อเราเปรียบเทียบลักษณะของธุรกรรมบิตคอยน์กับธุรกรรมในลักษณะดังกล่าวเราจึงจะสามารถเห็นความได้เปรียบของบิตคอยน์ได้อย่างชัดเจน ในปัจจุบันมีสกุลเงินเพียงไม่กี่สกุลที่ได้รับการยอมรับสำหรับการชำระเงินได้ทั่วทั้งโลกได้แก่ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินยูโร ทองคำ และเงินสิทธิการถอนเงินพิเศษของไอเอ็มเอฟ การทำธุรกรรมระหว่างประเทศส่วนใหญ่ล้วนเกิดขึ้นบนหน่วยเงินเหล่านี้ โดยมีเพียงสัดส่วนเล็กๆที่เกิดขึ้นบนสกุลเงินหลักอื่นๆเท่านั้น การจะส่งเงินเหล่านี้มูลค่าเพียงไม่กี่พันเหรียญสหรัฐฯข้ามผ่านระหว่างประเทศมักมีต้นทุนหลายสิบเหรียญ ใช้เวลาหลายวัน และยังเสี่ยงต่อการตรวจสอบโดยสถาบัณทางการเงินต่างๆอีกด้วย ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมที่สูงนี้เป็นผลมาจากความผันผวนของมูลค่าสกุลเงินต่างๆ และปัญหาในการชำระล้างบัญชีหนี้สินระหว่างสถาบัณการเงินในแต่ละประเทศ ซึ่งทำให้จำเป็นต้องมีการใช้ตัวกลางหลายต่อหลายชั้นด้วยกัน
ภายในเวลาไม่ถึงสิบปีที่ได้ถือกำเนิดขึ้น บิตคอยน์สามารถมีสภาพคล่องในระดับโลกได้อย่างมีนัยสำคัญ ทำให้สามารถทำการชำระเงินระหว่างประเทศโดยมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าระบบการทำธุรกรรมระหว่างประเทศที่มีอยู่เดิมเป็นอย่างมาก นี่ไม่ใช่การเสนอว่าบิตคอยน์จะขึ้นมาแทนที่ตลาดการส่งเงินระหว่างประเทศ แต่เป็นเพียงการชี้ให้เห็นถึงศักยภาพในสภาพคล่องระหว่างประเทศของบิตคอยน์ ในปัจจุบันเม็ดเงินที่ไหลผ่านระบบการทำธุรกรรมระหว่างประเทศนั้นยังใหญ่กว่าที่บล็อคเชนของบิตคอยน์จะรับไหว และถ้าการชำระเงินระหว่างประเทศเหล่านั้นไหลมายังบิตคอยน์มากขึ้น ค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมบิตคอยน์ก็จะสูงขึ้นเพื่อจำกัดความต้องการในการใช้งานมันเอาไว้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบิตคอยน์จะไม่มีอนาคตเพราะการทำธุรกรรมเหล่านี้ไม่ใช่ความสามารถเดียวของบิตคอยน์เสียเมื่อไหร่
บิตคอยน์เป็นเงินที่ปราศจากความเสี่ยงจากคู่แลกเปลี่ยนและระบบของมันยังสามารถทำธุรกรรมขนาดใหญ่ให้สิ้นสุดได้ภายในเวลาไม่กี่นาที บิตคอยน์จึงเหมาะที่สุดหากมองเป็นระบบที่แข่งขันกับระบบการชำระหนี้ระหว่างธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ต่างๆ และมันเหนือกว่าด้วยประวัติธุรกรรมที่สามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ความปลอดภัยจากเทคโนโลยีการเข้ารหัส และความสามารถในการต้านทานช่องโหว่ทางความมั่นคงจากบุคคลที่สาม การใช้สกุลเงินหลัก (ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร) สำหรับการชำระเงินระหว่าธนาคารมีความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและยังจำเป็นต้องอาศัยความเชื่อใจในตัวกลางหลายต่อหลายชั้นที่มีอยู่ในปัจจุบัน การชำระหนี้สินระหว่างธนาคารกลางและสถาบันการเงินขนาดใหญ่ใช้เวลาหลายวันหรือบางครั้งเป็นสัปดาห์ก่อนที่จะสิ้นสุด ระหว่างนั้นผู้ทำธุรกรรมทั้งสองฝ่ายต่างต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญจากอัตราแลกเปลี่ยนและความเสี่ยงจากคู่ค้า ทองคำเป็นหน่วยกลางทางการเงินระหว่างประเทศเดียวที่ไม่ได้อยู่ในการควบคุมของใครและปราศจากความเสี่ยงจากคู่ค้า และการเคลื่อนย้ายทองนั้นก็เป็นกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายสูงและเต็มไปด้วยความเสี่ยงมากมาย
เนื่องด้วยบิตคอยน์ไม่มีความเสี่ยงจากคู่ค้าไม่มีการพึ่งพาอาศัยบุคคลที่สามคนใดในการทำงานจึงทำให้มันมีเอกลักษณ์ที่เหมาะสมต่อการปฏิบัติหน้าที่เดียวกันกับที่ทองคำได้เคยปฏิบัติในยุคมาตรฐานทองคำ มันเป็นเงินที่เป็นกลางสำหรับระบบการเงินระดับโลกที่ไม่มีการมอบสิทธิพิเศษในการเป็นผู้ผลิตสกุลเงินสำรองของโลกแก่ประเทศใดประเทศหนึ่ง และการทำงานของมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสมรรถนะทางเศรษฐกิจของมันแต่อย่างใด การที่มันแยกขาดออกจากระบบเศรษฐกิจของประเทศใดประเทศหนึ่ง ทำให้มูลค่าของมันจะไม่ได้รับผลกระทบจากปริมาณการซื้อขายสินค้าที่ใช้บิตคอยน์เป็นหน่วยกำหนดราคา ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาของอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นที่น่ารำคาญมาตลอดศตวรรษที่ยี่สิบได้ ยิ่งไปกว่านั้น ความสิ้นสุดของธุรกรรมบนระบบของบิตคอยน์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ร่วมทำธุรกรรมหรืออยู่ภายใต้การตัดสินโดยธนาคารใดธนาคารหนึ่งในทางพฤตินัยแต่อย่างใด ทำให้มันเป็นโครงข่ายสำหรับผู้ใช้งานทั่วทั้งโลกที่สมบูรณ์แบบแทนที่จะอยู่ใต้การควบคุมจากอำนาจที่มีศูนย์กลาง ระบบโครงข่ายของบิตคอยน์ตั้งอยู่บนพื้นฐานของเงินที่ไม่สามารถมีผู้ใดเพิ่มปริมาณอุปทานของมันได้แม้แต่ผู้เดียว ทำให้มันเป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่าที่น่าดึงดูดมากกว่าสกุลเงินประจำชาติต่างๆที่เกิดขึ้นมาเพื่อที่รัฐบาลจะสามารถนำมันมาใช้จ่ายในโครงการของรัฐผ่านการผลิตอุปทานเพิ่มนั่นเอง
ปริมาณธุรกรรมที่บิตคอยน์สามารถรองรับได้นั้นสูงกว่าจำนวนธุรกรรมที่ธนาคารกลางต่างๆจำเป็นต้องใช้หากพวกเขาต้องการที่จะชำระหนี้สินทางบัญชีทุกวัน ในปัจจุบันบิตคอยน์สามารถรองรับธุรกรรมได้ราวๆ 350,000 ธุรกรรมต่อวันซึ่งเพียงพอที่จะให้โครงข่ายของธนาคาร 850 ธนาคารทั่วโลกทุกธนาคารสามารถทำธุรกรรมได้หนึ่งธุรกรรมกับแต่ละธนาคารในระบบได้ในแต่ละวัน (จำนวนของการเชื่อมต่อที่ไม่ซ้ำกันในระบบเท่ากับ (n-1)/2 โดยที่ n เท่ากับจำนวนของโหนดการเชื่อมต่อ)
ระบบโครงข่ายธนาคารกลาง 850 ธนาคารสามารถทำการชำระหนี้สินทางบัญชีได้จนสิ้นสุดกระบวนการระหว่างกันและกันได้วันละครั้งบนโครงข่ายของบิตคอยน์ หากแต่ละธนาคารกลางมีลูกค้าราว 10 ล้านคน นั่นก็จะครอบคลุมถึงประชากรโลกทั้งหมดได้ นี่เป็นเพียงกรณีที่แย่ที่สุดจริงๆที่ความสามารถในการรองรับธุรกรรมของบิตคอยน์จะไม่มีการเพิ่มขึ้นอีกเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็มีหนทางอยู่หลายหนทางที่จะสามารถเพิ่มความสามารถในการรองรับธุรกรรมของบิตคอยน์ได้ในรูปแบบที่สามารถทำงานร่วมกันกับสิ่งที่มีอยู่เดิมโดยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของบิตคอยน์แต่อย่างใดดังที่เราจะพูดคุยกันในบทถัดไป ซึ่งอาจทำให้สามารถรองรับการเคลียร์บัญชีระหว่างธนาคารได้มากมายหลายพันธนาคาร
ในโลกที่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถสร้างบิตคอยน์ขึ้นมาเพิ่มเติมได้ ธนาคารกลางบิตคอยน์เหล่านี้ก็จะต้องทำการแข่งขันกันอย่างเสรีในการสร้างเครื่องมือทางการเงินและการชำระเงินที่มีบิตคอยน์หนุนหลังอยู่ทั้งในรูปแบบกายภาพและรูปแบบดิจิทัล เมื่อไม่มีผู้ให้กู้แหล่งสุดท้ายแล้ว การประกอบกิจการธนาคารแบบสำรองเงินสดเพียงบางส่วนก็จะกลายเป็นสิ่งอันตรายเป็นอย่างมากและผมก็คาดว่าในที่สุดแล้ว ธนาคารที่สามารถอยู่รอดได้จะเหลือเพียงธนาคารที่สำรองบิตคอยน์ 100% เท่านั้น อย่างไรก็ตามประเด็นนี้ยังเป็นประเด็นที่ถกเถียงกันระหว่างนักเศรษฐศาสตร์และมีเพียงเวลาเท่านั้นที่จะตอบได้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ธนาคารเหล่านี้จะทำการเคลียร์บัญชีการชำระเงินและหนี้สินของลูกค้าของพวกเขานอกบล็อคเชนของบิตคอยน์ และนำเอาเพียงผลสรุปการเคลียร์บัญชีในแต่ละวันบันทึกลงบนบล็อคเชน
แม้มุมมองดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นการทรยศต่อวิสัยทัศน์ตั้งต้นของบิตคอยน์สำหรับการเป็นเงินสดสำหรับการใช้งานระหว่างบุคคลโดยแท้จริง แต่มันก็ไม่ใช่มุมมองที่แปลกใหม่แต่อย่างใด ฮาล ฟินนีย์ ผู้เป็นบุคคลแรกที่ได้รับบิตคอยน์จากนากาโมโตะ ได้เขียนข้อความนี้ไว้บนกระดานพูดคุยเกี่ยวกับบิตคอยน์ในปีค.ศ. 2010
อันที่จริงนั้นมันมีเหตุผลที่ดีมากที่จะทำให้มีธนาคารบิตคอยน์ที่สร้างเงินดิจิทัลของตัวเองซึ่งสามารถแลกเปลี่ยนเป็นบิตคอยน์ได้เกิดขึ้น บิตคอยน์เองนั้นไม่สามารถขยายความสามารถในการรองรับการใช้งานขึ้นได้มากพอที่จะให้ทุกธุรกรรมน้อยใหญ่บนโลกถูกประกาศให้รู้โดยทั่วกันไปทั่วทั้งโลกและบันทึกลงบนบล็อคเชนทั้งหมด มันจำเป็นต้องมีระบบการชำระเงินที่วางซ้อนอยู่เป็นชั้นที่สองที่เล็กและมีประสิทธิภาพสูงกว่านี้ เช่นเดียวกัน เวลาที่จำเป็นต้องรอเพื่อให้การชำระเงินด้วยบิตคอยน์ได้รับการยืนยันถึงจุดสิ้นสุดก็นานเกินกว่าที่จะสามารถใช้งานได้จริงสำหรับการใช้จ่ายซื้อสินค้ามูลค่าระดับกลางถึงระดับสูง
ธนาคารที่สำรองบิตคอยน์จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ พวกมันสามารถทำหน้าที่เหมือนกับที่ธนาคารเคยทำมาก่อนที่จะมีการสร้างเงินสกุลประจำชาติต่างๆขึ้นมา ธนาคารแต่ละธนาคารสามารถมีนโยบายที่แตกต่างกันได้ บางธนาคารอาจมีนโยบายเชิงรุก ในขณะที่บางธนาคารอาจมีนโยบายเชิงอนุรักษ์นิยม บางธนาคารอาจทำการสำรองเงินสดเพียงบางส่วน ในขณะที่บางธนาคารอาจทำการสำรองบิตคอยน์เต็ท 100% อัตราดอกเบี้ยของแต่ละธนาคารก็สามารถที่จะมีความแตกต่างกันได้ ทำให้เงินของบางธนาคารอาจมีราคาซื้อขายต่ำกว่าเงินของอีกธนาคารหนึ่งได้
จอร์จ เซลกิน (George Selgin) ได้คิดค้นทฤษฎีของการธนาคารเชิงแข่งขันอย่างเสรี (Theory of competitive free banking) เอาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน และเขาได้เสนอว่าระบบดังกล่าวจะมีความมั่นคง สามารถต้านทานเงินเฟ้อ และสามารถกำกับความประพฤติกันเองได้
ผมเชื่อว่านี่จะเป็นชะตาที่เลี่ยงไม่ได้ของบิตคอยน์ที่จะกลายมาเป็น “เงินที่มีอำนาจสูง” ที่ทำหน้าที่เป็นเงินสำรองเพื่อให้ธนาคารสามารถสร้างเงินดิจิทัลของพวกเขาเองได้ ธุรกรรมบิตคอยน์ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นระหว่างธนาคารเพื่อเป็นการชำระบัญชีสุทธิ ธุรกรรมบิตคอยน์ระหว่างบุคคลจะเป็นเรื่องที่เห็นได้ยากพอๆกับ… การซื้อขายสินค้าด้วยบิตคอยน์ในทุกวันนี้ 8
จำนวนธุรกรรมในระบบเศรษฐกิจของบิตคอยน์สามารถที่จะมีมากเท่าในปัจจุบัณ แต่การชำระธุรกรรมเหล่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นบนบัญชีร่วมของบิตคอยน์เพราะความไม่สามารถยับยั้งได้และความปราศจากการเชื่อใจของมันนั้นมีค่ามากเกินกว่าที่จะนำมาใช้สำหรับการชำระเงินเพื่อการอุปโภคบริโภคทั่วๆไป ไม่ว่าข้อจำกัดของระบบการชำระเงินในปัจจุบันจะคืออะไรก็ตาม พวกมันล้วนแล้วแต่จะได้ประโยชน์อันมหาศาลจากการนำเอาการแข่งขันเชิงตลาดเสรีเข้ามาสู่โลกของการธนาคารและการชำระเงิน ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เก่าแก่คร่ำครึที่สุดในโลกเศรษฐกิจสมัยใหม่เนื่องจากว่ามันถูกควบคุมโดยรัฐบาลและสามารถที่จะพิมพ์เงินขึ้นมาใช้เมื่อใดก็ได้ที่เงินขาดมือ
หากบิตคอยน์มีมูลค่าเติบโตต่อไปและถูกใช้งานโดยสถาบันทางการเงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ มันจะกลายเป็นสกุลเงินสำรองสำหรับธนาคารกลางในรูปแบบใหม่ ธนาคารกลางเหล่านี้อาจมีตัวตนที่จับต้องได้ในโลกกายภาพหรืออยู่ในโลกดิจิทัลก็ได้ แต่มันก็เป็นเรื่องที่น่าคิดมากขึ้นว่าธนาคารกลางประจำชาติต่างๆควรจะหันมาทำการสำรองเงินด้วยบิตคอยน์บ้างหรือไม่ ในระบบการเงินระดับโลกในปัจจุบัน ธนาคารกลางประจำชาติต่างๆถือเงินสำรองเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินยูโร เงินปอนด์อังกฤษ สิธิพิเศษการถอดเงินของไอเอ็มเอฟ และทองคำเป็นหลัก เงินสำรองเหล่านี้ถูกใช้ในการชำระหนี้ทางบัญชีระหว่างธนาคารกลางและเพื่อปกป้องมูลค่าตลาดของสกุลเงินประจำชาติของแต่ละธนาคาร หากบิตคอยน์ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอัตราเท่าเดิมดังในช่วงเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา มันย่อมสามารถดึงดูดความสนใจจากธนาคารกลางที่คำนึงถึงอนาคตได้
หากบิตคอยน์ยังคงมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญต่อไป มันจะทำให้ธนาคารกลางสามารถมีนโยบายทางการเงินและการชำระบัญชีระหว่างประเทศที่ยืดหยุ่นมากขึ้นได้ แต่บางทีเหตุผลที่แท้จริงที่ธนาคารกลางจะหันมาถือบิตคอยน์เอาไว้อาจเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นหากมันประสบความสำเร็จนั่นเอง และเนื่องด้วยปริมาณที่จำกัดของบิตคอยน์ มันจึงอาจเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดที่ธนาคารกลางจะเจียดเงินก้อนเล็กๆมาเปลี่ยนเป็นบิตคอยน์จำนวนหนึ่งในวันนี้เผื่อว่ามันอาจมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต ถ้าบิตคอยน์มีมูลค่าสูงขึ้นโดยที่ธนาคารกลางไม่ได้เป็นเจ้าของบิตคอยน์เลยแม้แต่น้อย มูลค่าตลาดของเงินทุนสำรองและทองคำของพวกเขาก็จะลดลงเมื่อเทียบกับบิตคอยน์ ทำให้ธนาคารกลางตกที่นั่งลำบากในกรณีที่พวกเขาจะตัดสินใจซื้อบิตคอยน์ในภายหลัง
บิตคอยน์ยังคงถูกมองว่าเป็นเพียงการทดลองเพี้ยนๆบนอินเตอร์เน็ตเท่านั้นในปัจจุบัน แต่เมื่อมันสามารถอยู่รอดและเติบโตขึ้นมาได้เมื่อเวลาผ่านไป มันจะเริ่มดึงดูดความสนใจอย่างแท้จริงจากผู้คนที่มีเงินจำนวนมาก นักลงทุนสถาบัน และแม้แต่ธนาคารกลางก็เป็นได้ วันใดที่ธนาคารกลางหันมาเริ่มคิดที่จะใช้บิตคอยน์ก็คือวันที่พวกเขากำลังเริ่มที่จะสร้างปรกฎการการแห่ถอนเงินกลับหลังหรือการแห่ฝากเงินบนบิตคอยน์ ธนาคารกลางแรกที่ทำการซื้อบิตคอยน์จะเป็นสัญญาณที่ทำให้ธนาคารกลางอื่นๆมองเห็นถึงความเป็นไปได้แต่แห่กันเข้ามาซื้อบิตคอยน์ตามๆกัน การซื้อบิตคอยน์ของธนาคารกลางครั้งแรกนั้นก็น่าจะทำให้มูลค่าของบิตคอยน์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและทำให้มันมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆสำหรับธนาคารที่แห่มาซื้อตามๆกัน แนวทางปฏิบัติที่ฉลาดที่สุดที่ธนาคารกลางจะกระทำได้ในกรณีนี้คือการซื้อบิตคอยน์เป็นจำนวนเล็กๆ และหากธนาคารกลางมีสามารถที่จะใช้ความสามารถของสถาบันในการกว้านซื้อบิตคอยน์ได้โดยไม่มีใครรู้ก็จะยิ่งเป็นแนวทางที่ฉลาดยิ่งขึ้นไปอีกเพราะมันจะทำให้ธนาคารกลางสามารถสั่งสมบิตคอยน์ได้ที่ราคาต่ำ
บิตคอยน์ยังสามารถทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์สำรองสำหรับธนาคารกลางที่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดระหว่างประเทศในการปฏิบัติกิจการต่างๆของธนาคาร หรือสำหรับธนาคารที่ไม่พอใจกับระบบการเงินของโลกที่ตั้งอยู่บนเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ความเป็นไปได้ในการใช้บิตคอยน์เป็นเงินสำรองนั้นอาจเป็นไพ่ใบสำคัญที่จะสร้างแต้มต่อให้กับธนาคารกลางเหล่านี้ในการต่อรองกับอำนาจทางการเงินของสหรัฐที่ไม่อยากจะเห็นธนาคารกลางใดๆหันไปสวามิภักดิ์ต่อการใช้บิตคอยน์เป็นเครื่องมือในการชำระหนี้ทางบัญชีระหว่างธนาคารเพราะเกรงว่ามันจะเป็นการเชื้อชวนให้ธนาคารกลางอื่นๆหันมาเข้าร่วมกระทำตามด้วย
แม้ธนาคารกลางต่างๆมีทีท่าไม่สนใจความสำคัญบิตคอยน์ แต่พวกเขาอาจไม่สามารถเบือนหน้าหนีความจริงได้ต่อไปอีกนานนัก ถึงแม้จะเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากเท่าใดก็ตามสำหรับเจ้าหน้าที่ธนาคารกลาง แต่บิตคอยน์เป็นคู่แข่งโดยตรงต่อธุรกิจของเขาซึ่งถูกตัดขาดจากกลไกการแข่งขันทางตลาดมานานนับศตวรรษ บิตคอยน์ทำให้ทุกคนสามารถทำการประมวลผลการชำระเงินและชำระบัญชีถึงจุดสิ้นสุดได้ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย และมันแทนที่การกำหนดนโยบายทางการเงินโดยมนุษย์ด้วยชุดคำสั่งที่คาดเดาได้โดยสมบูรณ์ โมเดลทางธุรกิจของธนาคารกลางในยุคสมัยใหม่กำลังถูกท้าทาย เมื่อธนาคารกลางไม่สามารถกำจัดการแข่งขันออกไปด้วยอำนาจของกฎหมายดังที่เคยกระทำมาตลอดพวกเขาจึงต้องต่อกรกับคู่แข่งดิจิทัลที่ดูไม่มีทีท่าที่จะสามารถถูกควบคุมด้วยกฎหมายของโลกกายภาพได้เลยแม้แต่น้อย หากธนาคารกลางประจำชาติไม่ยอมใช้ความสามารถในการชำระหนี้ทางบัญชีระหว่างธนาคารได้ในทันทีและนโยบายทางการเงินที่แข็งแกร่งแล้ว พวกเขาก็จะเปิดประตูให้ธุรกิจดิจิทัลรุ่นใหม่เข้ามาแย่งชิงเอาส่วนแบ่งตลาดของการเป็นหน่วยรักษามูลค่าและการชำระเงินไปมากขึ้นเรื่อยๆนั่นเอง
หากเปรียบโลกสมัยใหม่เป็นยุคโรมันโบราณ ที่กำลังเผชิญกับผลกระทบอันเกิดจากการล่มสลายของระบบการเงิน และเงินดอลลาร์เปรียบเสมือนเงินออรีอุส ซาโตชิ นากาโมโตะก็คงเปรียบได้กับคอนแสตนตินของพวกเรา โดยมีบิตคอยน์เป็นโซลิดัส และอินเตอร์เน็ตเปรียบเสมือนกรุงคอนแสตนติโนเปิลของพวกเรา บิตคอยน์ทำหน้าที่เป็นเหมือนเรือชูชีพทางการเงินสำหรับผู้คนที่ถูกบังคับให้ใช้จ่ายและเก็บออมด้วยเงินที่ถูกรัฐบาลทำลายมูลค่าอยู่ทุกขณะ จากผลการวิเคราะห์ในปัจจุบัน ข้อได้เปรียบที่แท้จริงของบิตคอยน์อยู่ที่การเป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่าระยะยาวที่เชื่อมั่นได้ และเป็นเงินที่มอบอธิปไตยทางการเงินให้ผู้คนสามารถทำธุรกรรมต่างๆได้โดยไม่ต้องขออนุญาตใคร การใช้งานบิตคอยน์ในอนาคตที่พอจะคาดการณ์ถึงได้นั้นจะดำเนินตามแนวทางของข้อได้เปรียบทางการแข่งขันเหล่านี้ ไม่ใช่จากความสามารถในการทำธุรกรรมทั่วๆไปด้วยค่าใช้จ่ายราคาถูก
หน่วยวัดมูลค่าทางบัญชีของโลก
การใช้งานบิตคอยน์ในรูปแบบสุดท้ายนี้คือรูปแบบที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ แต่ก็เป็นรูปแบบการใช้งานที่น่าสนใจเนื่องมาจากคุณลักษณะเฉพาะตัวของบิตคอยน์ หลังจากสิ้นสุดยุคสมัยของระบบมาตรฐานทองคำ การค้าขายบนเวทีโลกก็ถูกกีดขวางด้วยความแตกต่างของมูลค่าของเงินแต่ละสกุลในแต่ละประเทศเสมอมา ปัญหาดังกล่าวทำลายความสามารถในการทำการแลกเปลี่ยนทางอ้อมผ่านตัวกลางทางการแลกเปลี่ยนเพียงขนิดเดียวลงและได้สร้างโลกที่การจะซื้อสินค้าข้ามพรมแดนนั้นผู้คนต้องทำการซื้อสกุลเงินของผู้ผลิตสินค้าเสียก่อนจนแทบจะเหมือนกับระบบแลกเปลี่ยนสินค้าโดยตรงอยู่แล้ว ปัญหานี้ขัดขวางความสามารถในการกระทำการวางแผนทางเศรษฐกิจข้ามผ่านพรมแดนและนำมาสู่การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศขนาดยักษ์ อุตสาหกรรมดังกล่าวแทบไม่ได้สร้างผลประโยชน์ใดๆนอกไปจากการเป็นหนทางในการเยียวยาผลกระทบอันร้ายแรงจากลัทธิชาตินิยมทางการเงินที่เกิดขึ้น
ระบบมาตรฐานทองคำได้เสนอแนวทางแก้ไขปัญหานี้ โดยการใช้เงินเพียงรูปแบบเดียวที่ปราศจากการควบคุมโดยรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่งมาเป็นมาตรฐานทางการเงินของโลก ราคาของสินค้าต่างๆจะถูกเปรียบเทียบกับทองคำและตั้งราคาในหน่วยของทองคำทำให้การคำนวนวางแผนทางเศรษฐกิจข้ามพรมแดนสามารถเกิดขึ้นได้ แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยลักษณะทางกายภาพของทองคำ ทำให้มันจำเป็นต้องถูกเก็บไว้ที่ศูนย์กลางและการชำระหนี้สินทางบัญชีจะต้องเกิดขึ้นระหว่างธนาคารด้วยกัน หลังจากที่ทองคำถูกนำมารวมไว้ที่ศูนย์กลางแล้ว ความเย้ายวนของมันก็มากเกินกว่าที่รัฐบาลต่างๆจะสามารถต้านทานได้ และรัฐบาลต่างๆก็ได้เข้ามาควบคุมคลังทองคำและสร้างเงินของรัฐบาลที่พวกเขาสามารถควบคุมปริมาณอุปทานได้ขึ้นมาแทนที ทำให้เงินที่ครั้งหนึ่งเคยมีความมั่นคงกลายเป็นเงินที่ไม่มั่นคงโดยปริยาย
ถึงปัจจุบัน คำถามที่ว่าบิตคอยน์จำสามารถก้าวขึ้นมาสวมบทบาทเป็นหน่วยวัดมูลค่าของโลกสำหรับการค้าขายและกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้หรือไม่นั้นยังเป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ การที่มันจะเกิดขึ้นได้นั้นบิตคอยน์จำเป็นที่จะต้องถูกใช้งานโดยผู้คนจำนวนมหาศาล โดยส่วนใหญ่อาจเป็นการใช้งานทางอ้อมผ่านธนาคารที่ใช้บิตคอยน์เป็นเงินสำรอง เมื่อธุรกรรมที่เกิดขึ้นในแต่ละวันมีสัดส่วนเล็กมากเมื่อเทียบกับปริมาณบิตคอยน์ทั้งหมดที่อยู่ในมือผู้คนการคงตัวของอุปทานบิตคอยน์จะนำมาสู่มูลค่าที่คงที่ด้วยหรือไม่นั้นยังเป็นสิ่งที่ต้องคอยจับตาดู แต่ในเนื่องด้วยบิตคอยน์มีมูลค่าน้อยกว่า 1% ของอุปทานเงินของทั้งโลกในปัจจุบันจึงทำให้ธุรกรรมขนาดใหญ่เพียงไม่กี่ธุรกรรมบนบิตคอยน์สามารถมีผลกระทบบนราคาได้อย่างใหญ่หลวง และความเปลี่ยนแปลงทางฝั่งอุปสงค์เพียงเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดการแกว่งของราคาขนาดใหญ่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่บิตคอยน์ในฐานะของเงินและระบบการชำระหนี้สินทางบัญชีของโลกนั้นยังคงเป็นสัดส่วนที่เล็กมากๆเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบการชำระหนี้สินทางบัญชีและอุปทานเงินของโลกในปัจจุบัน
การซื้อเหรียญบิตคอยน์ในวันนี้อาจมองได้ว่าเป็นการลงทุนเพื่อเก็บรักษามูลค่าไว้ในระบบโครงข่ายและสกุลเงินที่กำลังโตอย่างรวดเร็วเนื่องจากมันยังมีขนาดที่เล็กมากและยังสามารถเติบโตขึ้นได้อีกหลายต่อหลายเท่าในเวลาสั้นๆ หากวันใดที่บิตคอยน์ถือส่วนแบ่งของอุปทานเงินโลกและการชำระหนี้สินทางบัญชีระหว่างประเทศส่วนใหญ่เอาไว้ได้ อุปสงค์หรือระดับความต้องการบิตคอยน์ในตอนนั้นก็จะมั่นคงและคาดเดาได้ง่ายยิ่งขึ้น นำมาสู่การอยู่ตัวของมูลค่าของมันในที่สุด ในเชิงทฤษฎีนั้น หากบิตคอยน์กลายมาเป็นเงินเพียงหนึ่งเดียวที่ถูกใช้งานไปทั่วทั้งโลก มันก็จะไม่มีพื้นที่ให้เติบโตในเชิงมูลค่าได้อีกมากนัก ถึงจุดนั้นความต้องการบิตคอยน์ก็จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับความต้องการถือเงินที่มีสภาพคล่องสูง และความต้องการในการเก็งกำไรดั่งที่เราเห็นได้ในวันนี้ก็จะหายไป ในสถานการณ์เช่นนั้น มูลค่าของบิตคอยน์ก็จะขึ้นลงไปตามระดับความเอนเอียงทางเวลาของประชากรมนุษย์ทั้งโลก โดยอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในระยะยาว การที่ไม่มีอำนาจใดสามารถควบคุมอุปทานของบิตคอยน์ได้จะกลายมาเป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาของมันมั่นคงแทนที่จะทำให้ผันผวน ปริมาณอุปทานที่คาดการณ์ได้ไม่ยากประกอบกับจำนวนผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นจะสามารถทำให้การผันผวนของระดับอุปสงค์ในแต่ละวันกลายเป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคาที่ลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ในขณะที่กลุ่มผู้สร้างตลาดสามารถที่จะทำการซื้อขายเพื่อป้องกันความเสี่ยงและทำให้ความผันผวนของอุปสงค์-อุปทานเรียบลื่นกว่าเดิมได้ ส่งผลให้เกิดราคาที่คงที่ยิ่งขึ้น
สถานการณ์นี้คล้ายกับสถานการณ์ของทองคำภายใต้ระบบมาตรฐานทองคำ ดังที่ได้มีการอธิบายอย่างละเอียดในงานศึกษาวิจัยของ Jastram ที่อ้างอิงไว้ในบทที่ 6 ตลอดระยะเวลากว่าศตวรรษที่ทองคำถูกใช้เป็นเงิน การที่อุปทานของทองคำเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและค่อยเป็นค่อยไปนั้นทำให้มูลค่าของมันไม่ได้เพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ทองคำเป็นหน่วยวัดมูลค่าที่สามารถคงความแม่นยำข้ามผ่านกาลเวลาและสถานที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่กรณีดังกล่าวนั้นมองข้ามปัจจัยพื้นฐานที่แตกต่างกันระหว่างทองคำและบิตคอยน์ไปข้อหนึ่ง นั่นคือการที่ทองคำมีความต้องการที่สูงและยืดหยุ่นสำหรับการใช้งานที่หลากหลายทั้งในภาคอุตสาหกรรมและเครื่องประดับ คุณสมบัติทางเคมีเฉพาะตัวของทองคำทำให้มันเป็นที่ต้องการเสมอไม่ว่ามันจะมีบทบาททางการเงินหรือไม่ก็ตาม แม้กระทั้งเมื่อความต้องการทองคำในฐานะการเป็นเงินลดลง อุตสาหกรรมต่างๆก็พร้อมที่จะนำเอาอุปทานที่มีมากมายไม่แทบไม่จำกัดของทองคำมาใช้งานได้เสมอทันทีเมื่อราคาของทองคำลดลงตามความต้องการที่ลดลง คุณสมบัติของทองคำทำให้มันเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการใช้งานในหลายต่อหลายรูปแบบโดยอุตสาหกรรมต่างๆจำเป็นต้องใช้สิ่งอื่นมาทดแทนเพียงเพราะราคาที่สูงเกินไปของทองคำเท่านั้น แม้ในสถานการณ์ที่ธนาคารกลางทั่วโลกพร้อมใจกันเทขายทองคำสำรองทั้งหมด ความต้องการใช้ทองคำจากกลุ่มธุรกิจภาคเครื่องประดับและอุตสาหกรรมก็น่าที่จะสามารถดูดซับเอาอุปทานส่วนเกินที่เกิดขึ้นไปได้ทั้งหมดส่งผลให้ราคาของทองคำลดต่ำลงเพียงชั่วขณะเท่านั้น ความหายากของทองคำในผิวโลกจะเป็นหลักค้ำประกันว่ามันจะสามารถคงราคาที่สูงอยู่เสมอเมื่อเทียบกับวัสดุและโลหะอื่นๆ
คุณสมบัติดังกล่าวมีความสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้ทองคำกลายเป็นเงินเนื่องจากมันเป็นหลักค้ำประกันความมั่นคงของมูลค่าทองคำเทียบกับสินค้าอื่นๆเมื่อเวลาผ่านไปได้เป็นอย่างดีโดยไม่สนใจว่าความต้องการใช้ทองคำทำหน้าที่ของเงินในประเทศต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไปผ่านการเข้าร่วมหรือเลิกใช้ระบบมาตรฐานทองคำแต่อย่างใด ในทางกลับกันความมั่นคงนี้ก็เป็นหลักประกันความต้องการทองคำและทำให้มันเป็นสินค้าทางการเงินที่น่าดึงดูดอยู่เสมอ และอาจเป็นสาเหตุที่อธิบายได้ว่าเหตุใดธนาคารกลางต่างๆจึงยังไม่ขายทองคำสำรองของพวกเขาแม้สกุลเงินของพวกเขาจะไม่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นทองคำมาได้หลายทศวรรษแล้วก็ตาม หากธนาคารกลางตัดสินใจขายทองคำสำรอง ผลที่เกิดขึ้นโดยรวมก็คือการที่จะมีทองคำถูกใช้งานในภาคอุตสาหกรรมต่างๆเพิ่มขึ้นหลายต่อหลานตันในเวลาต่อมา โดยมีผลกระทบต่อราคาทองคำเพียงเล็กน้อย ในการแลกเปลี่ยนนี้ธนาคารกลางจะได้รับเพียงเงินของรัฐบาลที่พวกเขาสามารถผลิตเองได้อยู่แล้ว แต่พวกเขาจะต้องสูญเสียทรัพย์สินที่น่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเงินของพวกเขา
ความต้องการบิตคอยน์ในฐานะที่นอกเหนือจากการเป็นเงินอาจมองได้ว่าเป็นความต้องการใช้บิตคอยน์ไม่ใช่เพื่อเป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่า แต่เพื่อเป็นใบเบิกทางในการเข้าร่วมใช้งานระบบโครงข่ายบิตคอยน์ แต่ในขณะที่ความต้องการทางอุตสาหกรรมของทองคำนั้นเป็นอิสระจากความต้องการทางการเงินของมัน ความต้องการใช้บิตคอยน์เพื่อเข้าร่วมระบบโครงข่ายนั้นเกี่ยวโยงกับความต้องการใช้บิตคอยน์เป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่าอย่างไม่สามารถแยกออกจากกันได้ ความต้องการดังกล่าวจึงคาดได้ว่าจะไม่มีบทบาทมากนักในการบรรเทาความรุนแรงของความผันผวนของราคาตลาดของบิตคอยน์ในขณะที่บทบาททางการเงินของมันกำลังเติบโตขึ้น
ในมุมหนึ่ง การที่บิตคอยน์มีจำนวนจำกัดอย่างสมบูรณ์ก็ทำให้มันเป็นตัวเลือกสำหรับการเป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่าที่น่าดึงดูดเป็นอย่างมากและทำให้มีจำนวนผู้คนที่สามารถทนความผันผวนของราคาบิตคอยน์ได้ในระยะยาวเข้ามาจับจองเป็นเจ้าของมันมากขึ้นเรื่อยๆ ตราบใดที่มันยังมีแนวโน้มอยู่ในขาขึ้นดังที่มันเป็นมาโดยตลอด แต่ในอีกมุมหนึ่ง ความผันผวนทางมูลค่าของบิตคอยน์ที่ไม่ยอมหายไปนี้เองก็เป็นสิ่งที่กีดกันไม่ให้มันสามารถทำหน้าที่หน่วยวัดมูลค่าได้ อย่างน้อยก็จนกว่ามันจะเติบโตขึ้นมากกว่านี้อีกหลายเท่าทั้งในเชิงมูลค่าและจำนวนผู้ใช้งานทั่วทั้งโลก
แต่อย่างไรก็ตาม หากเราคำนึงถึงประชากรบนโลกในปัจจุบันที่เคยแต่อาศัยอยู่ในโลกที่เงินของรัฐบาลมีมูลค่าแปรปรวนผันผวนระหว่างกันอยู่ตลอดเวลาแล้ว ผู้ถือบิตคอยน์ก็น่าที่จะสามารถทนความผันผวนของบิตคอยน์ได้มากกว่าผู้คนรุ่นก่อนที่เติบโตขึ้นมาในโลกแห่งความมั่นคงของระบบมาตรฐานทองคำเป็นแน่แท้ มีเพียงเงินของรัฐบาลที่ดีที่สุดไม่กี่สกุลที่สามารถรักษามูลค่าที่มั่นคงไว้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ในระยะยาวก็ยังสามารถเห็นได้ชัดเจนว่าเงินของรัฐบาลนั้นถูกบั่นทอนมูลค่าลงมาเรื่อยๆเสมอมา ในทางกลับกัน ทองคำกลับสามารถรักษาความมั่นคงระยะยาวเอาไว้ได้ แต่มันกลับไม่ค่อยมั่นคงเท่าไรนักในระยะสั้น การขาดความมั่นคงทางมูลค่าของบิตคอยน์จึงดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ปัญหาร้ายแรงที่จะขัดขวางการเจริญเติบโตของมันทั้งในแง่มูลค่าและการใช้งานได้เมื่อเราคำนึงว่าตัวเลือกอื่นๆนอกจากบิตคอยน์ก็ไม่ได้มีความมั่นคงเช่นกัน
ณ จุดนี้คำถามเหล่านี้ยังไม่อาจตอบได้อย่างชัดเจน มีเพียงเวลาและโลกแห่งความเป็นจริงเท่านั้นที่จะเฉลยว่าเรื่องราวจะคลี่คลายไปในทางไหน สถานะการเป็นเงินนั้นเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นเองจากการกระทำของมนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากการออกแบบด้วยเหตุและผล 9 คนแต่ละคนล้วนตัดสินใจและกระทำการต่างๆเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน และพัฒนาการทางเทคโนโลยีและสถาณะความเป็นจริงทางเศรษฐกิจจะเป็นผู้ตัดสินผลลัพท์เหล่านั้นด้วยการสร้างแรงจูงใจให้ผู้คนอดทน ปรับตัว เปลี่ยนแปลง และสร้างนวัตกรรมใหม่ๆขึ้น ระบบทางการเงินที่เกิดขึ้นเองเกิดขึ้นจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรที่ซับซ้อนเหล่านี้ มันไม่ใช่อะไรที่จะเกิดขึ้นจากการถกเถียงทางวิชาการ การวางแผนอย่างมีเหตุผล หรือข้อกำหนดของรัฐบาล สิ่งที่อาจดูเหมือนว่าจะเป็นเทคโนโลยีสำหรับเงินที่ดีกว่าอาจไม่ประสบความสำเร็จในการใช้งานจริง ความผันผวนของบิตคอยน์อาจทำให้นักทฤษฎีทางการเงินมองว่ามันไม่สามารถเป็นเงินได้ แต่ทฤษฎีทางการเงินก็ไม่สามารถมีอำนาจเหนือระบบและกลไกที่เกิดขึ้นเองจากตลาดโดยเป็นผลมาจากการกระทำของมนุษย์ได้ ในฐานะของการเป็นหน่วยเก็บรักษามูลค่า บิตคอยน์อาจสามารถดึงดูดความต้องการในการเก็บออมได้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มันมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับเงินรูปแบบอื่นๆจนมันกลายมาเป็นตัวเลือกที่เป็นที่นิยมในการรับค่าตอบแทนก็เป็นได้
หากมันสามารถมีมูลค่าที่มั่นคงขึ้นได้ในระดับหนึ่ง บิตคอยน์ก็จะกลายเป็นทางเลือกที่ดีกว่าสกุลเงินประจำชาติในการชำระหนี้ทางบัญชีระหว่างประเทศได้ ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ เนื่องจากสกุลเงินประจำชาติมีมูลค่าที่ผันผวนแปรปรวนไปตามสถานะของรัฐบาลและประเทศต่างๆ และการใช้มันอย่างแพร่หลายในฐานะของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศก็ได้สร้าง ‘สิทธิพิเศษเหนือผู้อื่นผู้ใด’ ให้แก่ประเทศที่เป็นผู้ผลิตเงินเหล่านั้น สกุลเงินสำหรับการชำระหนี้สินทางบัญชีระหว่างประเทศนั้นควร่จะเป็นเงินที่เป็นกลางไม่เปลี่ยนแปลงไปตามนโยบายทางการเงินของแต่ละประเทศ ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทองคำรับบทบาทนี้ได้อย่างดีเยี่ยมในยุคมาตรฐานทองคำนานาชาติ บิตคอยน์จะได้เปรียบทองคำในการนี้เนื่องจากการทำธุรกรรมด้วยบิตคอยน์นั้นสามารถที่จะเสร็จสมบูรณ์ได้ภายในเวลาไม่กี่นาที และความถูกต้องของธุรกรรมก็สามารถตรวจสอบได้อย่างง่ายดายโดยผู้ใช้งานทุกคนที่สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตได้โดยแทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ในทางกลับกัน ทองคำกลับต้องใช้เวลายาวนานในการขนส่ง และการชำระหนี้ทางบัญชีด้วยทองคำก็จำเป็นต้องอาศัยความเชื่อใจในตัวกลางต่างๆที่ทำหน้าที่ลงบัญชีและขนย้ายมัน ประเด็นนี้อาจทำให้ทองคำยังคงรักษาบทบาทหน้าที่ทางการเงินของมันเอาไว้ได้สำหรับการทำธุรกรรมเงินสดในระยะใกล้ ในขณะที่บิตคอยน์อาจมุ่งเน้นไปที่การชำระหนี้สินทางบัญชีระหว่างประเทศ
แปลโดย พิริยะ สัมพันธารักษ์ และ พีรพัฒน์ หาญคงแก้ว