สวัสดีครับในขณะที่ในปัจจุบันนั้นเกิดการเรียกร้องของเยาวชนปลดแอกเกิดม็อปเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยไปทุกหนทุกแห่งถึงความไม่เท่าเทียมกันของสังคม ซึ่งเราพูกถึงระบบการปกครองที่มีปัญหาบ่อยครั้งที่เราอาจจะพูดว่ามันเป็นเพราะหน่วยงานหรือตัวบุคคลที่ไม่ดี แต่ที่จริงแล้วหากเรามองลึกไปกว่านั้นสิ่งที่ค้ำจุนอำนาจเหล่านั้นคือระบอบการเงิน ที่หลายคนไม่ทันสังเกตุด้วยซ้ำ และมันมีความเกี่ยวขอ้งกับ Bitcoin อย่างไรเราจะมาเล่าให้ฟัง
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!การเรียกร้องประชาธิปไตยที่มีมาอย่างยาวนาน
เมื่อเราพูดถึงการเรียกร้องประชาธิปไตยหรือความเท่าเทียมกันไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศก็ตาม เคยสังเกตุไหมว่าการเรียกร้องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นมานานมากและทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะ ไทย ฮ่องกง อิรัก เบลารุส และอีกหลายๆประเทศที่มีความไม่เท่าเทียม แม้แต่ประเทศไทยม็อปก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรกและรัฐประหารก็ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แล้วทำไมปัญหาถึงไม่หมดไปเสียที ม็อปที่ผ่านมาและและการรัฐประหารที่ผ่านมาทำไมทำให้เราวนกับมาที่เดิมกันแน่ ทำไมรัฐบาลหรือหน่วยงานบางส่วนถึงมีอำนาจมากกว่าที่ควรจะมีและใช้อำนาจนั้นในทางที่ผิด
รัฐบาลมีอำนาจได้อย่างไร?
คำถามที่น่าสนใจคือแล้วรัฐบาลหรือหน่วยงานอื่นๆนั้นมีอำนาจได้อย่างไร? ซึ่งสิ่งเหล่านั้นอาจจะเกิดจากความเชื่อหรือความชอบธรรมในแบบต่างๆ แต่หากเรามองว่ารัฐบาลนั้นคือธุรกิจ แล้วธุรกิจนี้มีรายได้มาจากไหนกันแน่ คำตอบของคำถามนี้ทุกคนจะตอบในลักษณะที่คล้ายๆกันคือ “ภาษี” การทำธุรกรรมในทุกรูปแบบนั้นแฝงมากับภาษี ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยให้รัฐบาลในการจัดเก็บภาษีคือ “เงิน” หรือ “เงินของรัฐ” ซึ่งมันทำให้เกิดวาทะกรรมที่เราบอกว่าเราจ่ายภาษีเหมือนกันเราจึงมีความเท่าเทียม และนั้นคือการสร้างอำนาจให้แก่รัฐอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่หนึ่งในอีกสิ่งที่ผู้คนไม่ทันสังเกตุนั้นคือรัฐบาลนั้นสามารถ “ช่วงชิงมูลค่าของคนทุกคนได้ผ่านการผลิตเงิน” และนี่เป็นอาวุธที่ร้ายแรงของรัฐบาล ในขณะที่เราอาจจะมีวิธีเลี่ยงในการจ่ายภาษีหรือลดภาษีได้ แต่เราไม่มีวิธีใดๆเลยในการที่จะปกป้องไม่ให้รัฐบาลนั้นช่วงชิงเงินที่อยู๋ในกระเป๋าหรือในบัญชีธนาคารของเราไป เนื่องจากเงินนั้นไม่ใช่สิ่งที่มีจำนวนจำกัด เมื่อมีการผลิตเงินขึ้นมามูลค่าของเงินในมือของคนทุกคนก็จะลดลงจากกำลังซื้อที่ลดลง ซึ่งเราจะเห็นได้ชัดเจนจากการที่สิ่งของต่างๆในชีวิตเรานั้นมีราคาที่แพงขึ้นเรื่อยๆ และรัฐบาลพยายามสร้างภาพว่าการเฟ้อนั้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะมันเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายเศรษฐกิจอย่าง GDP เพื่อทำให้รัฐบาลนั้นมีความมั่นคงและอำนาจตลอดไป
ส่วนที่สำคัญคือเมื่อเกิดการผลิตเงินนั้นเงินจะไม่ได้เกิดการเฟ้อทันที เพราะเงินนั้นจะไม่ได้มีการกระจายไปให้คนทุกคนในทันที นั้นหมายความว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถใช้เงินได้ก่อนที่มันจะมีการเสียมูลค่า เงินจำนวนนั้นก็จะตกไปอยู่กับผู่ที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับโครงการของรัฐบาล ซึ่งอาจจะเป็น นายธนาคาร นักการเมือง หน่วยงานต่างๆ นายทุน หรือถ้าแย่ที่สุดคือกลายเป็นว่าเงินนั้นตกไปอยู่ในมือของนายทหารที่ไม่ได้มีความรู้ในการบริหารบ้านเมืองหรือเศรษฐกิจแต่อย่างใด และคนที่จะได้รับเงินเป็นคนสุดท้ายคือชนชั้นแรงงาน ซึ่งพวกเขาจะได้ใช้เงินในเวลาที่เงินมีการเสียมูลค่าถึงขีดสุดแล้ว จึงไม่แปลกใจอะไรที่เราจึงมีวาทะกรรมที่คนรวยจะรวยตลอดไป และคนจนไม่สามารถลืมตาอ้าปากได้นั้นเอง
เงินสินค้าที่มีการผูกขาดมากที่สุดในโลก
“ต้นเหตุของระลอกคลื่นของอัตราว่างงานนั้นหาใช่ ‘ทุนนิยม’ ไม่ หากแต่กลับเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลปฎิเสธสิทธิเสรีภาพของภาคธุรกิจในการสร้างเงินที่ดี” – Frederick Hayek
ในทางเศรษฐศาสตร์นั้นทุกอย่างสามารถเป็นเงินได้ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม หากเรามองว่าเงินเป็นสินค้า สินค้าที่ดีนั้นจะเกิดจากการเเข่งขันเพื่อพัฒนาสินค้าให้มีประสิทธิภาพที่ดี แต่เงินของรัฐกลับเป็นสิ่งที่ถูกผูกขาดมมาตลอดและเป็นความชอบธรรมของรัฐบาล นอกจากนี้หากเรามองว่ารัฐคือธุรกิจหนึ่ง รัฐเป็นธุรกิจที่มีแรงจูงใจในการพัฒนาสินค้าน้อยมาก ในขณะที่เรามีทางเลือกในการเลือกใช้สินค้า แต่เมื่อเป็นเงินเรากลับโดนกฎหมายผูกขาดว่าเราต้องใช้เงินรัฐนั่นเอง
นอกจากนี้ถ้าเราดูพัฒนาการของเงินรัฐเราจะพบว่ามันเป็นสิ่งที่มีแนวโน้มที่จะถูกผูกขาดและมอบอำนาจให้แก่คนที่มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ ในอดีตนั้นเงินที่เราใช้กันจะมีความเชื่อมโยงกับ “ทองคำ” ซึ่งเป็นเงินที่ถูกเลือกโดยประชาชน การผลิตเงินของรัฐนั้นจะเป็นจะต้องใช้ทองคำ รัฐบาลไม่สามารถผลิตเงินได้หากไม่มีทองคำ ทองคำนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ได้มีการใช้งานเท่ากับเงิน แต่ทองคำนั้นเป็นสิ่งที่สามารถเก็บมูลค่า จากการที่อุปทานของมันไม่สามารถถูกควบคุม ในทุกวันนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าสิ่งที่มีมูลค่า คือสิ่งที่มีการใช้งานเยอะๆ เพราะเราเข้าใจหลักในการมีมูลค่าจากเงินที่มีการใช้งานเยอะ อย่างเงินของรัฐ แต่ในโลกที่ทุกคนต่างขวนขวายที่ความมั่งคั่ง สิ่งที่มีค่าคือสิ่งที่มีความสามารถในการทำลายมูลค่านั่นเอง
ในความเป็นจริงแล้วโลกเราเพิ่งหันมายกเลิกระบอบทองคำเมื่อปี 1971 หลังจากนั้นมูลค่าของเงินรัฐก็มีมูลค่าน้อยลงมาตลอด เป็นที่น่าแปลกใจว่าทำไมว่าโลกเรามีการพัฒนาที่ดีขึ้นมีการผลิตที่ใช้ต้นทุนต่ำลง แต่ทำไมราคาสินค้าต่างๆถึงเพิ่มขึ้นมาตลอด หากเราเทียบราคาสินค้าต่างๆกับทองคำกับสินค้าอุปโภคบริโภค เมื่อร้อยปีก่อนอัตราส่วนทองคำกับราคาสินค้านั้นแทบไม่ต่างจากปัจจุบันและมีแนวโน้มที่จะน้อยลงเสียด้วย
Bitcoin กับการกำเนิดเงินที่ไม่ขึ้นกับอำนาจรัฐ
เมื่อเราพูดถึง Bitcoin หลายคนๆอาจจะมีคำถามในเรื่องมูลค่าของ Bitcoin เกี่ยวกับการเก็งกำไรหรือการยอมรับ แต่ถ้าเรามองอีกแง่นึงแล้ว Bitcoin คือการพยายามสร้าง “เงิน” ที่ไม่ขึ้นกับรัฐและมันประสบความสำเร็จ ในอดีตหลังจากอินเทอร์เนตเกิดขึ้นนั้นมีความพยายามมากมายในการสร้างเงินในรูปแบบต่างๆ แต่มันกลายเป็นว่าความพยายามทั้งหลายนั้นไม่เคยประสบความสำเร็จเลยเพราะการผูกขาดจากรัฐบาล ตัวอย่างที่เราเห็นได้ชัดเจนคือเมื่อ Facebook พยายามจะสร้างสกุลเงินขึ้นมาอย่าง Libra แล้วรัฐบาลทั่วโลกต่างต่อต้านโดยอ้างว่า เงินนั้นเป็นอภิสิทธิ์โดยชอบธรรมว่ามันต้องเป็นของรัฐเท่านั้น
เมื่อมีตัวกลางแล้วการสร้างเงินไม่ประสบความสำเร็จ Bitcoin กลับประสบความสำเร็จด้วยการไม่ขึ้นกับตัวกลางและมันถือเป็นรูปแบบการเงินแรกที่รัฐบาลไม่สามารถล้มมันลงได้ การใช้งาน Bitcoin นั้นเป็นอิสระจากอำนาจรัฐ รัฐไม่สามารถขโมย Bitcoin ไปจากเราหรืออายัดบัญชี Bitcoin ของเราหรือหยุดธุรกรรมของเราได้เหมือนที่อยู่ในระบบธนาคาร ทำให้ Bitcoin เป็นเงินที่ผู้ถือนั้นมีอธิปไตยในตัวเองในการใช้งาน
Bitcoin กับจำนวนจำกัด
เพราะฉะนั้นการใช้งานไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้สิ่งๆนั้นมีมูลค่าเราต้องดูด้วยว่า Supply ของมันถูกใครควบคุม ซึ่งทองคำเป็นตัวอย่างที่ดีในจุดๆนี้ ทองคำนั้นไม่ได้ถูกยอมรับมากเท่าเงินเราไม่สา่มารถเอาทองคำไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อได้แม้ราคามันจะขึ้นมาตลอดในระยะยาวก็ตาม นั้นเป็นเพราะมันเก็บมูลค่าได้จากการที่มีจำนวนจำกัด อย่างไรก็ตามหากวันนี้ราคาของทองคำเพิ่มขึ้นซัก 10%-20% แหล่งผลิตทองคำทั่วโลกอาจจะเพิ่มอัตราการผลิตทองคำเพื่อตอบสนองต่อตลาด
แต่ Bitcoin ไม่เป็นอย่างนั้นด้วยค่า Difficulty adjustment ที่ไม่ว่าคนจะเข้ามาขุด Bitcoin มากเท่าไหร่ Bitcoin จะผลิตด้วยอัตราคงที่และลงลงอย่างคาดคะเนได้ ทุกวันนี้เราไม่สามารถขุดทองขึ้นมาด้วยข้อจำกัดของเทคโนโลยีแต่เราก็ไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น แล้วทองคำมีจำนวนอยู่ที่เท่าไหร่กันบนโลก แต่ Bitcoin จะมีจำนวนจำกัดที่ 21 ล้าน เพราะงั้นในทางทฤษฎีในแง่จำนวนจำกัดมันดีกว่าทองคำด้วยซ้ำ
Bitcoin ไม่ใช่ Safe heaven

ในทางทฤษฎีแล้ว Bitcoin เป็นอะไรที่สามารถต่อต้านการเสียมูลค่าได้ดีกว่าทองคำเสียอีก แต่ถ้าเรามันไปเปรียบเทียบกับทองที่ทุกคนคิดว่าเป็น Safe heaven เราจะพบว่ามูลค่ามันต่างกันถึง 35 เท่า และทองคำก็มีความเชื่อทางประวัติศาสตร์ที่ยาวนานกว่า Bitcoin ที่เพิ่งเกิดมายังไม่สามารถมาแทนที่ทองคำได้ในตอนนี้ เพราะงั้นถ้าใครที่บอกว่าลงทุนทองดีกว่า มันน่าเชื่อถือกว่าจริงๆในสายตาคนหมู่มาก
อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับ ทองคำ Bitcoin มีความน่าสนใจตรงที่มันมามารถแบ่งแยกย่อยได้ 8 หลัก และการเคลื่อนย้ายทำได้รวดเร็ว ในช่วง Covid ที่ผ่านมาเราจะเห็นมีช่วงนึงที่ร้านทองไม่รับซื้อทองเพราะขาดสภาพคล่องซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาที่ทองคำมี
Bitcoin กับการเรียกร้องประชาธิปไตย
ทีนี้คำถามคือในเมื่อเงินรัฐมันแย่เราควรเลิกใช้เงินรัฐหรือเปล่า คำตอบที่น่าโหดร้ายคือโลกเรานั้นมีความเกี่ยวพันกับเงินรัฐมากเกินกว่าจะเลิกใช้มันได้ในวันนี้ และ Bitcoin เองก็ไม่ได้มีสามารถมากพอที่จะแทนที่ระบบการเงินที่มีอยู่ได้ เพราะฉะนั้นวิธีที่เราจะใช้ Bitcoin ในการเรียกร้องประชาธิปไตยหรือความเท่าเทียบคือ “การถือ Bitcoin” เพราะในแง่หนึ่งการถือหรือแม้แต่การนำ Bitcoin ไปใช้ก็ตามคือการอารยขัดขืนต่อระบบการเงินที่มีอยู่ทางอ้อม
ในขณะที่รัฐพยายามผูกขาดสกุลเงินนั้น การมีตัวตนของ Bitcoin นั้นเป็นสิ่งที่บอกแก่เงินรัฐว่าความพยายามแข่งขันในการสร้างเงินและผลิตเงินที่ดีนั้นเริ่มขึ้นแล้ว ผู้คนมีทางเลือกในการใช้เงินมากขึ้นไม่ว่ารัฐจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ตาม ในท้ายที่สุดเมื่อผู้คนมีทางเลือกมากขึ้นรัฐก็มีแต่จะปรับตัวเพื่อทำให้เงินของรัฐนั้นมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและมอบอำนาจแก่ประชาชนมากขึ้นในทางใดทางหนึ่งนั่นเอง
ความเป็นไปได้ต่อไปของ Bitcoin
ด้วยความแนวทางของ Bitcoin ทำให้มีคนเริ่มพูดว่าในอนาคตมันอาจจะกลายเป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศก็เป็นไปได้ ซึ่งเมื่อเรามาดูการยอมรับและมูลค่ารวมตอนนี้เราก็จะพบว่ามันไม่ต่างอะไรกับเรื่องเพ้อฝัน แต่เราก็อย่าลืมว่ามันก็เพ้อฝันพอกับการที่เราบอกว่า Bitcoin จะมีมูลค่า 10000 USD ได้ในสักวันหนึ่งเมื่อปี 2010 มันอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราก็ได้ แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้อนาคต
ล่าสุดเดือนสิงหาคม 2020 บริษัท MicroStrategy อเมริกาที่อยู่ใน Nasdaq ประกาศว่า ภายใน 12 เดือนจะเอาเงิน 250 ล้านดอลลาร์ ไปทยอยซื้อสินทรัพย์ทางเลือก เช่น หุ้น พันธบัตร เงินดิจิทัล (Digital Currency) เพื่อเป็นสินทรัพย์คงคลังสำรอง ซึ่งหลังจากนั้นเป็นเวลา 1 สัปดาห์ บริษัท MicroStrategy ได้ตัดสินใจนำเงินจำนวน 250 ล้านทั้งหมดไปซื้อ Bitcoin จำนวน 21,454 BTC (ซึ่งในปี 2013 ไมเคิล เจ. เซย์เลอร์ ซีอีโอของ MicroStrategy เคยกล่าวว่า Bitcoin นั้นไม่ต่างกับการพนันออนไลน์) และนอกเหนือจากบริษัท MicroStrategy ยังมีบริษัทอีกมากมายในอเมริการที่ตัดสินใจสำรอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองซึ่งกินส่วนแบ่งถึง 2.85% ของอุปทาน Bitcoin ทั้งหมด
สรุป
พออ่านบทความนี้จบคุณอาจจคิดว่า Bitcoin นั้นเป็นสิ่งที่น่าสนใจ แต่ในความเป็นจริง Bitcoin เป็นอะไรที่ใหม่มากเเละมีความเสี่ยงสูงคุณไม่ควรเอาเงินทั้งชีวิตมาลงกับมัน Andreas Antonopoulos ผู้เขียนหนังสือ Mastering Bitcoin ได้กล่วไว้ในปี 2017 ว่า
“เรายังไม่อยู่ในจุดเริ่มต้นเลยด้วยซ้ำ เราเป็นแค่พวกฝันเฟื่องและ Ealy adopter จะมาทีหลัง”
คุณอาจจะไม่ชอบ Bitcoin คุณอาจจะไม่ต้องสนใจมันคุณอาจจะพบคำตอบอื่นแทนที่จะเป็น Bitcoin แต่ส่วนที่สำคัญคือคุณต้องเข้าใจว่ากลไกเงินของรัฐนั้นทำงานอย่างไรและมอบอำนาจแก่รัฐอย่างไรมากกว่า
“หากคุณต้องการเข้าใจ Bitcoin สิ่งแรกที่คุณต้องทำไม่ใช่การทำความเข้าใจใน Bitcoin แต่คือการเข้าใจเงิน Fiat เมื่อคุณเข้าใจว่าเงิน Fiat ทำงานอย่างไร คุณจะเข้าใจว่าทำไมคุณจึงต้องสนใจ Bitcoin” Lina seiche MD at the BTC Times