fbpx

การ Halving คืออะไร? มันจะทำให้ราคา Bitcoin ขึ้นไปถึงเท่าไหร่?

อีกไม่นานการ Halving ของ Bitcoin ก็ใกล้เข้ามาแล้วแล้วมันคืออะไร ต่างจากการ Halving ครั้งอื่นยังไง

การ Halving คืออะไร? มันจะทำให้ราคา Bitcoin ขึ้นไปถึงเท่าไหร่?

4 Feb 2020
ยาวไปอยากเลือกอ่าน แสดง

สวัสดีครับเมื่อไม่นานมานี้เราคงจะได้ยินเรื่องข่าวการ Halving ของ Bitcoin ซึ่งอาจจะทำให้ Bitcoin มีราคาพุ่งขึ้นกันมาบ้างแล้ว สำหรับคนที่อยากเข้าใจง่ายๆไม่ยืดยาวก็ขอตอบสั้นๆว่ามันคือการที่

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

“อัตราการเกิดของ Bitcoin จะถูกลดลงครึ่งหนึ่ง”

แต่คำถามคือมันมีผลอย่างไรบ้างกับราคา Bitcoin และในทางเทคนิคมันทำได้อย่างไรเราจะมาเล่าให้ฟังกัน

 

Bitcoin ถูกสร้างได้อย่างไร

 

ก่อนที่เราจะไปพูดถึงเรื่อง Halving เราจะมาพูดกันก่อนว่า Bitcoin นั้นถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร ซึ่งในจุดนี้มันจะสัมพันธ์กับเรื่องการขุดอยู่บ้าง ซึ่งเราได้อธิบายในเชิงรายละเอียดไว้แล้วในเรื่องบทความการขุดลองไปตามอ่านกันได้

แต่ถ้าจะให้อธิบาย Bitcoin นั้นเป็น Software ที่เป็นรุปแบบัญชีประเภทหนึ่งที่ทำหน้าที่เก็บตัวเลขว่าแต่ละคนมีเงินเข้าเงินออกและถือ Bitcoin อยู่เท่าไหร่แค่นั้น ซึ่ง Software นี้ได้กำหนดกฎที่บอกว่า

“นักขุดที่อยากพิสูจน์ว่าข้อมูลบัญชี Blockchain ใน Node ของตัวเองนั้นเป็นข้อมูลที่ถูกต้องจะต้องทำการแก้ไขรหัส (Mining) ที่ระบบมอบให้ นักขุดคนใดก็ตามที่แก้ไขโจทย์สำเร็จเป็นคนแรกจะได้ Bitcoin ที่เกิดขึ้นใหม่รวมถึงค่าธรรมเนียมที่ผู้ใช้จ่าย (Reward)เป็นรางวัล”

นั้นเท่ากับว่าทุกครั้งที่มีคนโอนเงิน Node (คอมพิวเตอร์ที่เก็บสำเนา Blockchain ของ Bitcoin) จะทำการเก็บข้อมูลเหล่านั้นไว้ แหละหาก Node นั้นเป็นนักขุดและขุดสำเร็จเขาจะได้ค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้นในระบบ

 

ค่า Difficulty คืออะไร?

หนึ่งในโจทย์สำคัญของระบบ Bitcoin ในตอนสร้างขึ้นมาคือ 

“จะทำยังไงให้ Bitcoin ถูกผลิตออกมาในเวลาที่สม่ำเสมอ”

เพราะถ้าเราสังเกตุว่ากระบวนการขุดนั้นแท้จริงคือการถอดรหัส แปลว่าทุกครั้งที่มีคนถอดรหัสได้จะมี Bitcoin เกิดขึ้น และหากมีคนเอาอุปกรณ์ที่สามารถถอดรหัสได้เร็วขึ้นมาขุด Bitcoin ก็จะทำให้ Bitcoin นั้นถูกผลิตเร็วขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะทำให้เกิดการเฟ้อของ Bitcoin และนำไปสู่การเสื่อมมูลค่าของ Bitcoin เนืองจากมันหาได้ง่ายเกินไป

ทำให้ระบบของ Bitcoin ได้สร้างสิงทีเรียกว่า ค่า Difficullty หรือค่าความยากในการขุดหรือการไขโจทย์ โดยทุก 2016 Block จะเกิดการปรับค่า Difficulty ในจุดนี้ โดยค่านี้จะปรับขึ้นหรือลงก็ขึ้นอยู่กับว่า Block ที่ขุดได้ในเวลาที่ผ่านมานั้นเฉลี่ยแล้วมันมากกว่าหรือน้อยกว่า 10 นาที หากมากกว่า 10 นาทีค่านี้จะปรับลดลง ในทางหากน้อยกว่า 10 นาทีค่านี้จะปรับเพิ่มขึ้น

และนั้นทำให้ไม่ว่าจะมีจะมีนักขุดมากแค่ไหนอุปกรณ์ดีแค่ไหนค่า Difficulty จะควบคุมให้ Bitcoin นั้นถูกขุดขึ้นมาในอัตราเฉลี่ยทุกๆ 10 นาที

 

การ Halving คืออะไร?

ในวันที่ Bitcoin เริ่มทำงานขึ้นนั้นใน Genesis Block นั้นมี Bitcoin อยู่ 50 BTC และหลังจากนั้นในทุกๆ Block ที่ขุดได้ในทุกๆ 10 นาทีโดยประมาณจะมี Bitcoin ถือกำเนิดขึ้น 50 BTC โดยซอฟต์แวร์ Bitcoin นั้นได้เขียนเงื่อนไขซึ่งก็คือการ Halving ไว้ว่า

“ในทุก 210,000 Block ที่ขุด Bitcoin ได้ Bitcoin ที่ถูกผลิตขึ้นใหม่และมอบเป็น Reward แก่ minor จะลดลงครึ่งหนึ่ง

โดยระยะเวลา 210,000 Block นั้นจะใกล้เคียงกับเวลา 4 ปีทำให้ Bitcoin ในปัจจุบันมีการ Halving ไปแล้วสองครั้ง ครั้งแรกลดจาก 50 เป็น 25 ในเดือนพฤศจิกายนปี 2012 โดยตอนนั้นมี Bitcoin ผลิตขึ้นมา 10,500,000 BTC และครั้งที่สองคือ ในเดือนกรกฎาคมปี 2016  โดยลดจาก 25 กลายเป็น 12.5

 

การ Halving ครั้งถัดไป

การ Halving ของ Bitcoin ครั้งถัดไปจะทำให้ Bitcoin ที่ผลิตทุกๆ 10 นาทีลดลงเหลือ 6.25 โดยจากการคาดคะเนมันน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเดือพฤษภาคมในปี 2020 (ค่าโดยประมาณที่สามารถคลาดเคลื่อนได้จากการที่ Bitcoin อาจจะไม่ได้เกิดทุกๆ 10 นาทีเสมอไป)และอีก 4 ปีก็จะลดเหลือ 3.125 1.5625 ไปเรื่อยโดย Bitcoin จะถูกผลิต(เกือบๆ)ครบ 21 ล้าน BTC ในปี 2140

 

ทำไมต้องมีการ Halving

Bitcoin นั้นถูกขนานนามว่า Digital gold เนื่องจากว่าเจตนารมของผู้สร้าง Bitcoin คือการล้มตัวลงของเศรษฐกิจในช่วงปี 2008 ที่ทำให้เกิดการผลิตเงินจำนวนมากเพื่ออุ้มเศรษฐกิจ Satoshi Nakemoto จึงต้องการสร้างระบบการเงินที่มีอัตราผลิตที่แน่นอนมีจำนวนจำกัดและคาดเดาได้เหมือนทองคำที่ไม่ถูกรัฐบาลควบคุม

ทองคำนั้นเป็นสินทรัพย์เดียวในประวัติศาสตร์โลกที่มูลค่าของมันไม่ลดลงในระยะยาวเนื่องจากมันไม่สามารถผลิตขึ้นมาโดยง่าย และที่ Bitcoin ถูกเรียกว่า Digital Gold เพราะว่าในสมัยแรกนั้น ทองคำนั้นหาได้ง่ายมีต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ แต่พอเวลาผ่านไปเมื่อทองคำกลับหายากขึ้นเรื่อยๆและมีต้นทุนที่สูงขึ้นเรื่อยๆในการเสาะหา ทำให้ทองคำที่หมุนเวียนในระบบส่วนใหญ่นั้นเป็นทองคำที่ถูกผลิตขึ้นมานานแล้วมากกว่าที่จะเป็นทองคำที่ผลิตขึ้นใหม่

 

การ Halving จะทำให้ Bitcoin ราคาขึ้นหรือเปล่า

ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้วการที่อัตราการเกิดของ Bitcoin ลดลงจะทำให้เกิดการลดลงของ Supply ซึ่งจะทำให้ Bitcoin นั้นกลายเป็นสิ่งที่หายากขึ้นและส่งผลกับราคาของ Bitcoin หาก Demand เพิ่มขึ้นอย่างสัมพันธ์กันซึ่งก็มีความเห็นแตกต่างกันไปว่า Bitcoin จะราคาขึ้นหรือเปล่าดังนี้

1st halving 2nd halving 3rd halving
Bitcoin ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งหมด 10,500,000 BTC (50% Supply) 15,725,000 BTC (75% Supply) ‭18,350,000‬ BTC(87.5% Supply)
Bitcoin ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงนั้น 10,500,000 BTC 5,250,000  BTC 2,625,000 BTC
Inflation Rate (per halving) 50% 25% 12.5%
Inflation Rate (per Year) 12.5% 6.25% 3.125%
  • ในเชิงเศรษฐศาสตร์ Bitcoin อาจจะราคาขึ้นในระยะยาวแต่อาจจะไม่ส่งผลอย่างรวดเร็ว เนื่องจาก Bitcoin ที่หมุนเวียนในระบบส่วนใหญ่นั้นเป็น Bitcoin ที่ถูกผลิตขึ้นมาแล้ว ปัจจุบัน Bitcoin ถูกผลิตขึ้นมากแล้วโดยประมาณ 18 ล้าน btc ซึ่งคิดเป็น 85% ของ Supply ทำให้ Inflation rate ของ Bitcoin อยู่ที่ 1.8%
  • การ Halving ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับการ Halving 2 ที่ผ่านมาในครั้งแรกนั้น Bitcoin ถูกผลิตขึ้นมา 10,500,000 BTC คิดเป็น 50% ของ Supply ทั้งหมดและครั้งที่สองเกิดขึ้นเมื่อ Bitcoin ผลิตออกมากอีก 5,250,000  BTC คิดเป็น 25% หลังเกิดการ Halving ครั้งที่ 2 Bitcoin จะถูกผลิตขึ้นมากอีก 2,625,000 BTC คิดเป็น 12.5% ของ Supply และหลังเกิด Halving ครั้งที่ 3 จะมี Bitcoin ถูกผลิตขึ้นอีก 1,312,500 BTC คิดเป็น 6.25% ของ Supply
  • เราจะเห็นได้ชัดว่า Bitcoin ที่จะผลิตหลักจากนี้มีเพียง 6.25% หรือปีละ 1.8% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับ Bitcoin ที่มีอยู่เท่ากับว่า Bitcoin ส่วนใหญ่คือ Bitcoin ที่มีขึ้นอยู่แล้ว หรือถ้าเราพิจารณาจากสัดส่วน Supply ที่ลดลงจากการ Halving ครั้งนี้เราจะพบว่ามันน้อยกว่าที่ผ่านมาทำให้ความผันผวนมันจะน้อยกว่าการ Halving ที่ผ่านมา
  • อย่างไรก็ตามในเชิงจิตวิททยาการลดลงของอัตราการผลิตมีผลอย่างมากต่อคนหมู่มากที่จะหาเหตุผลรับรองในทางความเชื่อว่า Bitcoin จะมีราคาเพิ่มขึ้น ถ้าเราค้นคำว่า Bitcoin หรือ Bitcoin Halving เราจะเห็นกระแสความสนใจอย่างเห็นได้ชัด 
  • อย่างไรก็ตาม Bitcoin เป็นสิ่งที่มีจำนวนจำกัดแม้จะถูกผลิตขึ้นในทุกๆวันก็แต่หลังการ Halving สัดส่วนที่ผลิตก็เป็นสัดส่วนที่น้อย และที่ผ่านมาสัดส่วนของ Bitcoin ที่ผลิตนั้นก็ก็มีมากกเมื่อเทียบกับการผลิต แต่ราคา Bitcoin ในระยะยาวก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นั้นหมายความหากเราพิจารณาว่า Demand ของ Bitcoin นั้นเท่าเดิมหรือมากขึ้นราคา Bitcoin ควรจะเพิ่มมากขึ้น

ราคาของ Bitcoin ควรจะเป็นเท่าไหร่?

ได้มีเคยมีคนวิเคราะห์กราฟราคาของ Bitcoin หลังเกิดการ Havling ในรูปแบบ Cycle ไว้ดังนี้โดยแบ่งเป็นช่วง Bull Market,Bear Market,Accumulation,Expansion,Reacumulation

1st halving 2rd halving 3th halving 4th halving
Bull Market 17794% (243 day) 9218% (368 day) 2938% (525 day) 300%-700%(525+ day)
Bear Market -93.6% -86% -84% -80%++
Accumulation 254% 50% 82%
Expansion  Reacumulation  68% 100% 20% 

*Note เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น

ถ้าเราอ้างอิงตามสถิติหลังการ Halving ครั้งนี้ Supply ของ Bitcoin ที่ลดลงนั้นก็น้อยกว่าที่ผ่านๆมาอย่างเห็นได้ชัดทำให้ ตลาดของ Bitcoin น่าจะเข้าสู่ตลาด Bull ซึ่งอาจจะเป็น ตลาด Bull ที่ยาวนานกว่าเดิม แต่ราคาอาจจะไม่ได้ขึ้นสูงขึ้นหลายเมื่อเทียบกับที่ผ่านมา เป็นไปได้ที่เราจะเห็น Bitcoin ทำ High ใหม่อีกครั้งอย่างน้อยในปี 2021-2022 โดยอาจทำ High ได้ที่ 25,000 – 50,000 USD

อีกคำถามที่น่าสนใจคือ Source of fund ที่จะผลักดันราคาจากตรงนี้จะมาจากไหนในช่วงการ Halving ครั้งที่แล้วเราได้กระแส ICO เข้ามาช่วยในช่วงปี 2016-2017 หลังจาก BTC กลับมาทำราคาที่ 1000 USD แล้วหลังการ Halving รอบี้อะไรจะเป็นตัวจุดกระแส STO Stablecoin หรือ Defi เราก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนมีแต่แนวโน้วเท่านั้น

*Note ข้อมูลเป็นเพียงการคาดเดาจากสถิติเท่านั้น มีความเป็นไปได้ที่จะผิดพลาด เพราะมูลค่าของตลาด Bitcoin นั้นอยู่ที่ 170,000 ล้านดอลลาร์ซึ่งเป็นมูลค่าตลาดที่น้อยมากความผันผวนจึงรุนแรงและอะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในตลาดเกิดใหม่ที่มีมูลค่าน้อย รวมถึงการที่ตลาด Bull กินระยะเวลานานขึ้นก่อนจะ ATH อาจจะทำให้เกิดความไม่มันใจทางจิตวิทยาของนักลงทุน และเมื่อตลาด Bitcoin เริ่มใหญ่ขึ้นก็มีผลทำให้การปั่นราคาทำยากขึ้นเช่นกัน

 

ผลกระทบที่มีต่อนักขุด

โดยปกติแล้วต้นทุนของนักขุดคือ อัตราส่วนระหว่างค่าไฟกับกำลังขุด สิ่งที่เกิดขึ้นในการ Halving 2 ครั้งที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือการที่เครื่องขด Bitcoin แบบ ASIC หลายตัวตกรุ่นไปเพราะค่าไฟนั้นแพงเกินกว่า Bitcoin ที่ขุดได้

ปัจจุบันนั้น Block Reward ของ Bitcoin อยู่ที่ 12.5 รวมกับค่าธรรมเนียมซึ่งมีอัตราส่วนอยู่ที่ 1.5% โดยประมาณหรือคือจะมีค่าธรรมเนียมอยู่ในรางวัล 0.137 เมื่อเกิดการ Halving นั้นแปลว่ารางวัลที่นักขุดได้จะลดลง 49.5% ในทันที และหลังจากที่นักขุดบางคนจุดต่อไม่ได้ก็จะมีการผลิตเครื่องรุ่นใหม่ที่กินไฟน้อยลงและนักขุดก็เริ่มเปลี่ยนเครื่องขุดมาเป็นเครื่องที่คุ้มค่าไฟอีกครั้ง

จุดสำคัญอยู่ตรงที่การลด Reward ลง 49.5% นั้นมีผลอย่างมาก ซึ่งสามารถบรรเทาได้ด้วยการพุ่งขึ้นของราคา Bitcoin ซึ่งมันจะไม่เกิดขึ้นในทันทีที่เกิดการ Halving ซึ่งเป็นจุดชี้วัดของนักขุดว่าจะอยู่จะไป ในการ Halving ครั้งก่อนๆก็จะมีจุดที่นักขุดบางกลุ่มทั้งล้มเลิกหรือบางกลุ่มก็ตัดสินใจขุดต่อไปทั้งที่ขาดทุน จนกระทั่งกลับมากำไร ด้วยการที่ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้น

 

สรุป

การ Halving นั้นเป็นจุดชี้วัดในระยะยาวของราคา Bitcoin ด้วยการลดปริมาณ Supply และทำให้ Bitcoin ลักษณะคล้ายทองคำดิจิทัล บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ทางสถิติรวมถึงข้อมูลและมุมมองส่วนตัว เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น อย่างไรก็ตามตลาด bitcoin ก็เป็นตลาดที่มีมูลค่าน้อยและเพิ่งเกิดขึ้นได้เพียง 11 ปี อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ในตลาดที่เล็กขนาดนี้

ปล. Original Content ไม่ได้แปลเองนะใช้วิจารณญาณด้วย

 

Article Bitcoin
,
Writer

Maybe You Like