Paradox หมายถึง สิ่งที่ขัดแย้งในตัวเอง อาจจะ”ถูก”หรือ”ไม่ถูก”ก็ได้ ความขัดแย้งของเงินดิจิทัลที่สำคัญคือแนวคิดและการนำไปใช้จริง
Digital Currency ในที่นี้หมายถึงเงินดิจิทัลที่ออกโดยรัฐบาล เป็นเงินดิจิทัลสกุลท้องถิ่นของแต่ละประเทศ
แนวคิดของเงินดิจิทัล
คือการทำให้ทำให้เงินกระดาษเป็นเงินดิจิทัล เป็นเพียงตัวเลขที่เราเห็นได้เท่านั้น เงินดิจิทัลจะทำให้การไหลเวียนของเงินเปลี่ยนมือกันด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ตามสมการการแลกเปลี่ยน (The Equation of Exchange) MV=PY ในสมการนี้ เงินดิจิทัลจะส่งผลต่อ V ทำให้เกิดการหมุนเงินเร็วขึ้น และต่อยอดไปถึงการปล่อยกู้ดิจิทัลที่เร็วขึ้น เศรษฐกิจจะหมุนเร็วขึ้นอีก
การนำไปใช้จริงในระดับรัฐ
เป็นเรื่องที่ปฎิเสธไม่ได้ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตมนุษย์มากขึ้น แม้แต่เงินกระดาษและพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล ก็กำลังถูกท้าทายในเรื่องนี้ หลายประเทศเริ่มพูดคุยถึงการทำเงินสกุลดิจิทัลที่มีข้อดีเรื่องต้นทุนที่ต่ำ การบันทึกข้อมูลที่โปร่งใส และการตรวจสอบที่ทำได้ง่ายขึ้น แต่ก็พ่วงมาด้วยข้อเสียสำคัญคือ หากมีช่องโหว่ในการแฮก หากระบบมีปัญหา อาจส่งผลต่อการจ่ายเงินเพื่อดำเนินชีวิตของคนทั้งประเทศเลยก็ได้ แล้วทางออกหล่ะ หากออกเงินดิจิทัลจริง รัฐเตรียมการรับมือหรือระบบสำรองไหม และอย่างไร? เมื่อระบบการเงินหยุดชะงักและไม่มีระบบสำรอง อาจนำสู่ความปั่นป่วนได้
การนำไปใช้จริงในระดับบุคคล
เงินดิจิทัลกำลังจะเปลี่ยนการใช้ชีวิตของเรา แต่คนยังไม่วางใจระบบนี้อย่างเต็มที่ เราเคยเจอปัญหาระบบธนาคารล่มแล้วกดเงินออกมาไม่ได้ เราเคยเจอปัญหาระบบแบ็งกิ้งล่มแล้วโอนเงินไม่ได้ ผมยอมรับว่าเทคโนโลยีพวกนี้สะดวกสบาย แต่เทคโนโลยีที่เราใช้ปัจจุบันก็มีปัญหา ที่ทำให้ความสบายกลายเป็นความลำบากได้เช่นกัน ในวันที่มันทำงานปกติทุกอย่างราบลื่น ในวันที่มันเกิดปัญหาทุกอย่างติดขัดทันที
ที่น่าสนใจคือระบบทุกวันนี้ก็ทำแบบนั้นได้ ทำไมต้องใช้เงินดิจิทัล ประชาชนไม่จำเป็นต้องใช้ เพราะเงินในธนาคารกับระบบแบ็งกิ้งในมือถือล้วนเป็นเงินดิจิทัลอยู่แล้ว จนกว่าเราจะถอนมันออกมา แต่สาเหตุคือรัฐบาลจำเป็นต้องใช้ เพราะจะได้ตรวจสอบเงินทุกบาททุกสตางค์ ทุกการเคลื่อนไหวของเราได้ ทุกวันนี้การซื้อขายแลกเปลี่ยนกันด้วยเงินสด (Cash) นั้น รัฐบาลไม่สามารถตรวจสอบได้ และมีภาษีจำนวนมากที่หายไปจากจุดนี้ ดังนั้นรัฐมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนตัวเองเพื่อไปใช้เงินดิจิตอล เพื่อการเก็บภาษีที่มากขึ้น ดึงทุกคนเข้าสู่ระบบเพื่อที่รัฐจะได้เข้าไปควบคุมหรือช่วยเหลือ หรือเพื่อป้องกัยมหาอำนาจจากการปิดกั้นทางกาารเงิน แบบเวเนซุเอล่า
“สุดท้ายเราอาจถูกแทรงแซงจากเงินของประเทศอื่นได้ ผ่านเงินดิจิทัลเหล่านี้” เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้ารัฐ ไม่ยินยอม
อนาคตหากเกิดวิกฤต ทางเลือกที่ดีที่สุดในการอัดเงินคือ อัดเงินที่รากหญ้าหรือชนชั้นล่าง-กลาง
ผ่านระบบ Micro Loan โดยปล่อยกู้เป็น Digital Currency การอัดฉีดที่ใช้ตอน2008คือการอัดฉีดแบบ Top-down จากบนลงล่าง ซึ่งกว่าเงินจะกระจายไปสู่รากหญ้าเพื่อหมุนเศรษฐกิจมันช้ามาก งานวิจัยของ Harvard มีการระบุว่า การอัดฉีดที่เร็วที่สุดและดีที่สุดคือการอัดฉีดแบบ Bottom-up คือการอัดฉีดเงินสู่รากหญ้า เศรษฐกิจจะหมุนทันทีที่มีการอัดฉีดเงิน เงินจะถึงมือประชาชนเลย ดังนั้นแปลว่าสภาพคล่องเป็นบทบาทที่สำคัญของเงิน หากมีเงินที่มากและสภาพคล่องที่ดี การผลักดันที่คู่ควรจะเกิดขึ้น หากเกิดปัญหาหลังจากนี้ ทุกประเทศในโลกจะเริ่มทดสอบการอัดฉีดแบบ Bottom-up
การทำ CDBC (Central Bank Digital Currency) มีประโยชน์ในการใช้งานและต่อยอดอีกมาก และเราอาจได้เห็นประเทศทางยุโรปเริ่มออกสกุลเงินดิจิทัลมาใช้เป็นประเทศแรกๆของโลก ระบบเศรษฐกิจจะหมุนเร็วขึ้น สภาพคล่องของเงินจะมากขึ้น อัตราส่วนของเงินดิจทัลจะมีมากกว่าเงินกระดาษอย่างแน่นอน ในอนาคตรัฐจะพิมพ์เงินกระดาษน้อยลง หรือหากประเทศนี้ใช้เงินดิจิทัลทั้งประเทศ อาจยกเลิกพิมพ์เงินกระดาษไปเลยก็ได้
Paradox of Digital Currency คือความขัดแย้งระหว่างแนวคิดกับบนระบบ แนวคิดการใช้งานของเงินนี้จะมีประโยชน์ในเชิงโครงสร้างต่อการบริหารประเทศและต่อยอด แต่นำไปใช้งานเชิงนวัตกรรม จริงจะยังไม่สามารถนำมาใช้แทนที่ได้100เปอร์เซ็นต์ เนื่องด้วยเทคโนโลยีอาจมีข้อบกพร่อง รัฐจะต้องเตรียมระบบสำรองไว้แก้ไขในกรณีนี้ และระบบสำรองอาจทำให้รัฐตรวจสอบได้หรือไม่ได้ เกิดขึ้นได้ทั้งสองอย่าง การนำไปใช้งานด้านสังคม สังคมในตอนนี้ใช้เงินดิจิทัลกันมากอยู่แล้ว แต่ปัญหาคือคนขาดความรู้เรื่องภาษี หากรัฐใช้ระบบนี้ รัฐจะพบคนที่มั่งมีผ่านการใช้เงินสดซื้อขายและไม่ได้เสียภาษีอย่างถูกต้อง ตรงจุดนี้จะเป็นการแก้ไขระบบภาษีครั้งใหญ่ครั้งนึง
เมื่อเงินถูกติดตาม หายนะที่จะตามมาก็คือการลืมเสียภาษี ซึ่งมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา โดยปกติเรียกย้อนหลังได้ไม่เกิน2ปี หากตรวจสอบพบการหลีกเลี่ยงภาษีทางสรรพากรจะมีอำนาจประเมินขยายระยะเวลาได้ถึง5ปี แต่หากผู้เสียภาษีไม่เคยยื่นแบบเลย สรรพากรสามารถประเมินย้อนหลังได้ไม่เกิน10ปี
*** ผู้เสียภาษีต้องเก็บเอกสารทางบัญชีและภาษีไม่น้อยกว่า5ปี ดังนั้นหากเงินดิจิทัลมาเมื่อไหร่ ให้ระวังเรื่องนี้ ระบบนี้จะดีในระยะยาว แต่ช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐต้องให้ความรู้แก่ประชาชนที่ไม่เคยเสียภาษีและต้องมีผ่อนปรนบ้างในช่วงแรก