fbpx

Defi อนาคตของระบบการเงินที่ไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร

ธนาคารยังจำเป็นอยู่ไหมถ้า Defi สามารถทำสิ่งต่างๆในระบบการเงินที่ธนาคารเคยทำได้

Defi อนาคตของระบบการเงินที่ไม่ต้องพึ่งพาธนาคาร

28 Dec 2019

สวัสสดีครับวันนี้ทางแอดมินจะมาเล่าเรื่อง DeFi หรือที่มีชื่อเรียกว่า Decentralized Finance ให้ฟังในเชิงคอนเซ็ปต์และการยกตัวอย่างนะครับว่ามันคืออะไรซึ่งจริงๆ คำนี้เป็นอะไรที่กำกวมมากเลย

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

 

จุดเริ่มต้นของ DeFi

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ Decentralized Finance ถูกพูดถึงมาขึ้นคือการก่อตั้ง DeFi Network ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ที่มีเป้าหมายในการพัฒนาการเงินแบบ Decentralized โดยกลุ่ม DeFi ได้เปิดตัวงาน DeFi Summit ซึ่งเป็นงานรวมตัวของ Developer ที่ Sanfrancisco เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2018 ในงานมีนักพัฒนาจากโปรเจคต์มากมายมาพูดคุยถึงความเป็นไปได้ของแพลทฟอร์มทางการเงินที่ไม่ต้องการตัวกลาง ซึ่งประกอบด้วยโปรเจคต์มากมายอย่าง MakerDAO Kybernetwork Compund ซึ่งก็ยังมีอีกหลายชื่อที่เรายังไม่ได้พูดถึง

 

Defi หรือ Decentralize Finance คืออะไร?

จริงๆคำว่า Decentralized Finance มันแปลว่าระบบการเงินที่ไม่ต้องการตัวกลาง ซึ่งถ้าเรามองจากนิยามนี้เราจะถือว่า Bitcoin เป็น Decentralized Finance ในรูปแบบหนึ่งก็ได้เพราะมันคือระบบโอนเงินที่ไม่ต้องการตัวกลาง แต่ในความเป็นจริงระบบการเงินนั้นมีฟังชั่นที่มากกว่าแค่การโอนเงิน เช่นการปล่อยกู้ การโอน การค้ำประกัน ทำให้คำนี้ถูกนำมาใช้เมื่อและเริ่มมีโปรเจคต์ที่สร้างเพื่อมาแทนที่ระบบการเงินแบบเดิมที่ล้าสมัย คำนี้จึงถูกพูดถึงมากขึ้น

 

ทำไมเราต้องมีระบบการเงินที่ไม่ต้องการตัวกลาง (Decentralized)

ในวันที่คำว่า Decentralized นี้กำลังเป็นที่พูดถึงกันมาก หนึ่งในสิ่งที่แอดมินอยากให้ทุกคนทำความเข้าใจว่าการสร้างระบบ Decentralized นี้ไม่ได้แปลว่ามันแก้ปัญหาได้ทุกอย่าง มันมีข้อดีข้อเสีย คล้ายกับเมื่อเราเทียบกับระบบการปกครองของระบบเผด็จการ (สว 250 เสียง) กับประชาธิปไตยก็มีข้อดีข้อเสียที่กินกันไม่ลง

หนึ่งในสิ่งที่ระบบ Decentralized ทำให้ระบบการเงินมีบทบาทมากคือการที่มันสามารถลดขั้นตอนของกระบวนการในการสร้างความน่าเชื่อถือได้ ในโลกการเงินปัจจุบันหากเราอยากได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือไม่ว่ามันจะเป็นข้อมูลการเงินหรือไม่ก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราต้องนำข้อมูลนั้นไปตรวจสอบโดยผู้ที่เชื่อถือได้หลายๆคน ซึ่งกระบวนการเปล่านี้เป็นกระบวนการที่ต้องผ่านหลายตัวกลาง ซึ่งมันเสียทั้งเวลาและต้นทุนทางการเงิน 

ทำให้แนวคิดของ Decentralized มาแทนที่ในจุดนี้ด้วยการกระจายข้อมูลไว้หลายจุดเพื่อทำให้สามารถตรวจสอบข้อมูลได้จากหลายๆแห่งพร้อมกัน ทำให้กระบวนการที่เคยต้องผ่านตัวกลางหลายตัวนั้นทำได้พร้อมกัน ซึ่งถ้าเรามองในแง่ของต้นทุนของระบบที่ต้องเก็บข้อมูลไว้หลายที่นั้นอาจจะแพงกว่า แต่มันกลับถูกกว่าเมื่อเทียบกับการสร้างระบบป้องกับภัยให้แก่ฐานข้อมูลที่เก็บไว้จุดเดียว

 

MakerDao กับ Stablecoin เมื่อไม่ใช่แค่รัฐบาลที่สามารถสร้างเงินได้

หนึ่งในสิ่งที่ Decentralized Finance สามารถทำได้คือการสร้าง Stablecoin ซึ่งเดิมทีกระบวนการสร้างเงินที่มีมูลค่าคงที่นี้ มีแต่รัฐบาลเท่านั้นที่ทำได้ด้วยการสร้างตัวกลางเพื่ออกสกุลเงิน แต่ในโลกของ DeFi นี้การออกสกุลเงินที่มีมูลค่าคงที่นั้นสามารถทำได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง

 

 

DeFi ที่สามารถออก Stablecoin ได้ที่เป็นที่รู้จักกันดีที่สุดคือ Dai จาก MakerDao โดยหลักการแล้วเหรียญ Dai นี้จะมีมูลค่าเท่ากับ 1 ดอลลาร์ โดยมีการค้ำประกันเป็น Cryptocurrency อย่าง ETH แต่อย่างที่ทุกคนรู้ว่า ETH นั้นเป็นเป็นเหรียญที่มีมูลค่าไม่มั่นคง แต่อย่างไรก็ตามระบบของ Dai นั้นสามารถใช้ Smart Contract เพื่อควบคุม Fund ที่ใช้เป็น Colletaral 

ในการออก Dai ที่เป็น Stablecoin นั้นผู้ใช้งานจะต้องทำการ Lock up Eth ไว้ในอัตราอย่างน้อยที่ 1.5 เป็นหลักประกัน โดยในการกู้ยืม Dai แล้วผู้ใช้งานยังต้องเสียดอกเบี้ยซึ่งดอกเบี้ยจะแตกต่างกันไปตามแต่ละช่วงซึ่งอัตราดอกบี้ยจะถูกกำหนดจากผู้ถือเหรียญ MKR ถ้ามี Dai เกินกว่าความต้องการ ผู้ถือเหรียญ MKR จะทำการเพิ่มดอกเบี้ยของ Dai เพื่อให้ผู้คนนำ Dai มาคืนเงินเป็น ETH ทำให้ Supply ของ Dai นั้นมีการปรับอยู่ตลอดเวลา

ในกรณีที่ราคาของ Ethereum มีการผันผวนจนทำให้มูลค่าของมันต่ำกว่า 1.5 เท่าของ Dai ที่สร้างออกมาก Smart Contract จะทำการนำ ETH ที่ค้ำประกันจำนวนหนึ่งไปประมูลขายในทันทีทำให้ ETH ที่ Colletaral ไว้มีมูลค่ามากกว่า Dai ที่ผลิตออกมาเสมอ

นั้นกลายเป็นว่าในขณะที่ Libra กำลังปวดหัวเกี่ยวกับปัญหาเรื่องการกดดันจากรัฐบาลต่างๆ Dai กลับถูกสร้างในแนวทาง Decentralized โดยที่ไม่ต้องไปขออนุญาติใครก็ตาม 

Note: ปัจจุบัน Dai นั้นสามารถถูกรองรับด้วย Cryptocurrency ที่เป็น ERC-20 จำนวนหลายชนิดส่วนเหรียญที่รองรับด้วย ETH เพียงอย่างเดียวถูกเรียกว่า Sai

 

Synthetix เมื่อสินทรัพย์ทุกอย่างสามารถในรูปแบบดิจิทัลได้

Synthetix นั้นเป็นแพลทฟอร์มที่สามารถนำเหรียญของตัวเอง ไปค้ำประกันเพื่อสร้างสินทรัพย์จำลองอย่าง ดอลลาร์ ทองคำ หุ้น ได้แต่ต้องค้ำประกันถึง 750% ซึ่งเป็นปริมาณที่มากเมื่อเทียบกับ Defi ตัวอื่นๆ โดยผ่านเหรียญ SNX ของตัวเองและสามารถนำเอาไป Shot หรือ Long สินทรัพย์ได้

ซึ่งโดยแนวคิดแล้วสินทรัพยืประเภทนี้เป็นสินทรัพย์จำลองแบบ Derivertive โดยที่ไม่ได้มีสินทรัพย์อยู่จริง แต่มีเงินค้ำประกันมูลค่าที่เทียบเคียงจริงๆ แต่ด้วยปัจจุบันมันสินทรัพย์จำลองนั้นก็ไม่ได้มีการยอมรับจากแพลทฟอร์มอื่น ซึ่งถ้ายังไม่ได้รับการยอมรับมันก็ยังมีข้อจำกัดที่การ Short Long ในแพลทฟอร์มของตัวเองเท่านั้นเท่านั้น

 

Compound Finance ระบบกู้ยืมแบบ Decentralized

จริงๆแล้วระบบ Compound นั้นเป็นระบบกู้ยืมครับเพียงแต่ว่ามันจะมีลักษณะคล้ายกับ Dai ตรงที่ Dai นั้นเป็นการค้ำประกันเพื่ออก Stablecoin แต่ Compound นั้นเป็นระบบที่คุณสามารถเอาเหรียญหลายๆชนิดไปค้ำประกันและแลกเป็น Cryptocurrency สกุลอื่นได้โดยในปัจจุบันมีสกุลเงินต่างๆได้แก่ ETH Dai USDC BAT ZRX REP WBTC REP (ฺBitcoin ที่อยู่บน Ethereum Chain)

นั้นหมายความว่าใครๆก็สามารถมากู้เหรียญพวกนี้ได้โดยมีเหรียญอื่นๆมาค้ำประกัน และยังสามารถปล่อยกู้ได้ด้วย นั้นหมายความว่าคุณจะสามารถได้ดอกเบี้ยจากการปล่อยกู้นี้ ซึ่งในระบบของ Compound นั้นดอกเบี้ยจะถูกคำนวนจากปริมาณ Demand และ supply ของทั้งกู้และปล่อยกู้ซึ่งเราจะเห็นว่าตอนนี้การฝากเงินส่วนใหญ่จะเป็นการฝาก ETH และกู้เป็น stablecoin อย่าง Dai ซึ่งเหรียญอย่าง ZRX หรือ BAT นั้นมีอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำมาก

 

Decentralized Finance ระบบโรงจำนำ 4.0

แม้เราจะเรียกระบบเหล่านี้ว่าระบบกู้ยืมก็ตามจริงๆแล้วมันกลับคล้ายคลึงกับโรงรับจำนำในความเข้าใจของคนทั่วไปมากกว่า มันต่างจากการกู้ยืมในโลกการเงินเเบบเดิมๆที่ใช้เครดิตกู้ยืม ซึ่งปัญหาที่สำคัญที่สุดตรงนี้คือสินทรัพย์ค้ำประกันนั้นต้องมีมากกว่าสิ่งที่ถูกสร้างออกมา

ที่จริงแล้วหลักการค้ำประกันเพื่อสร้างมูลค่านี้แม้อาจจะเป็นสิ่งที่ฟังดูเข้าใจได้ยาก แต่มันเป็นสิ่งที่ระบบการเงินในรูปแบบในอดีตทำกันมาตลอดไม่ว่าจะการสร้างเงินตราโดยมีทองคำหนุนหลัง ก่อนจะใช้อำนาจรัฐค้ำประกันในปัจจุบัน และนำเงินไปหมุนเวียนในระบบให้เศรษฐกิจหมุนเวียน แม้ว่าเราจะต้องใช้สินทรัพย์ที่มากกว่าหลักทรัพย์ที่สร้างออกมาก็ตามแต่หากเราคิดถึงในแง่ต้นทุนเพิ่มเติมในการสร้างระบบธนาคารหรือระบบการเงินมันอาจจะใช้ต้นทุนที่มากกว่าในการสร้างความเชื่อให้กับสินทรัพย์

ทำให้ตอนนี้ Dapp ที่ใหญ่ที่สุดและมีมูลค่ามากที่สุดของ DeFi คือระบบที่เกี่ยวข้องกับ Stablecoin ทั้งใน MakerDao และ Compound Finance ก็เป็นการกู้ Stablecoin เสียส่วนใหญ่ หลายๆคนอาจจะไม่เข้าใจว่าเราจะเอาของที่มีมูลค่ามากกว่าไปสร้างของที่มีมูลค่าน้อยกว่าไปทำไม ซึ่งคำตอบคือว่าคนที่กู้นั้นสามารถเอาสิ่งนั้นไปทำอะไรได้หรือเปล่า ในกรณี Stablecoin ที่การใช้งานค่อนข้างชัดเจนว่าเอาไปทำอะไรได้จึงมี Demand ที่ค่อนข้างมาก กลับกันเหรียญอื่นๆนั้นยังไม่มี utitlity ทำให้มันยังไม่มีผู้ต้องการมากนัก

การทำ Derivative short long หรือแม้แต่ Stablecoin นั้นอาจจะคล้ายกับว่ามันเป็นโลกของการเก็งกำไรเท่านั้น แต่ถ้าเรามองถึงตลาดเก็งกำไรที่มีอยู่บนโลกแล้วมันจะถูก Disrupt ด้วย Defi มูลค่าของมันก็ควรจะมากกว่าที่มันเป็นในปัจจุบัน

การค้ำประกันนั้นสามารถลดความเสี่ยงยกตัวอย่างเช่นเราต้องการใช้ ETH แต่ไม่อยากขาย WBTC และห่วงว่า ETH ที่เราจะถือในเวลาหนึ่งจะมีมูลค่าที่ไม่แน่นอนเราจึงเอา WBTC ไปค้ำประกันเพื่อแลก Eth ออกมา หากราคาของ ETH ผันผวนเช่นมันลดต่ำลง 10% เราก็ยังสามารถแลกคืน WBTC เพียงแค่ชำระดอกเบี้ยไปเท่านั้น

 

DeFi ระบบที่ไม่มีความเสียหายเมื่อพัง

ก่อนอื่นระบบของ DeFi นั้นทำงานโดย Smart Contract อัตโนมัติ ในกรณีที่ค่าเงินที่ค้ำประกันมีความผันผวนระบบจะทำการ Liquidate อย่างอัตโนมัติเพื่อคงมูลค่าของเงินค้ำประกัน นั้นเท่ากับว่าหากไม่มีใครใช้งานระบบนี้อีกต่อไประบบนี้ก็จะทำการคืนเงินให้แก้ผู้ใช้งานอย่างอัตโนมัติผ่าน Smart Contract อย่างไรก็ตามสิ่งที่ผมพูดไปด้านบนนั้นคือในกรณีที่ Smart Contract เขียนอย่างถูกต้องโดยไม่มีข้อผิดพลาด โอกาสที่ผู้พัฒนาเขียนคำสั่งผิดพลาดที่เป็น Human Error ก็ยังมีความเป็นไปได้ หากคุณคิดจะใส่เงินจำนวนมากลงไปใน DeFi คุณควรจะคำนึงถึงสิ่งนี้ด้วย

 

การเติบโตของ DeFi 

ตัวอย่างที่ผมยกมาในข้างต้นนั้นมีเพียงแค่ MakerDao Synthetix และ Compound Finance เท่านั้นซึ่งจริงๆแล้วในเชิงคอนเซ็ปต์ของ DeFi มันยังสามารถทำอะไรอื่นๆได้อีกมากในแนวคิดนี้ เพราะมันเป็นเหมือน Base Protocol ที่จะสร้างสิ่งต่างๆ เพียงแต่ในวันนี้ Success Case ของมันจะเรียกได้ว่ามีเพียง Stablecoin เท่านั้น ส่วนสิ่งอื่นๆนั้นเรายังต้องดูความเป็นไปได้ในอนาคต

แต่อย่างไรก็ตามถ้าเราดูสถิติการเติบโตของ DeFi เราจะพบว่ามันน่าสนใจมากปัจจุบันมันมีปริมาณ Asset lock up อยู่ถึง 618 ล้านดอลาร์สหรัฐ ในต้นปี 2018 นั้นยังมีมูลค่าไม่ถึง 100 ล้านดอลลาร์ด้วยซ้ำ โดย MakerDao ครองส่วนแบ่งการตลาดถึง 50% ตามด้วย Syntetix และ Compound ซึ่งก็นับว่าเป็นการเติบโตที่รวดเร็วและดูมี Potential และยิ่งถ้าเราลองคิดถึงว่า Dai นั้นเป็น Stablecoin เหรียญแรกที่ไม่ต้องมีระบบธนาคารเป็นผู้ออก เมื่อเราเทียบกับตลาดความเป็นไปได้ของ Stablecoin มันก็ดูมีอนาคตและควรจะมีมูลค่ามากกว่านี้ และการมาของ Defi ดูเหมือนว่าจะเพิ่ม Use case ให้กับ Ethereum ในอนาคตอีกด้วยเพราะเหรียญที่ค้ำประกันส่วนใหญ่นั้นป็น Ethereum

 

DeFi คืออนาคตหรือเปล่า

 

ความน่าสนใจของ DeFi คือการที่เราสร้างสิ่งต่างๆได้โดยไม่มีตัวกลาง ทำให้ลดต้นทุนโดยรวมและโอกาสที่ระบบจะล้มเหลวได้ แต่อย่างไรก็ตามด้วยมูลค่า 600 ล้านดอลลาร์นี้ก็ยังเป็นจำนวนเงินที่ไม่มากเท่าไหร่ และ Use case ก็ยังจำกัดที่ Stablecoin รวมถึงการ Short long ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสามารถเติบโตได้มากกว่านี้ เพราะมันสามารถ Disrupt ตลาดที่มีอยู่ได้

แต่หาก DeFi จะเติบโตในวงกว้างนี้จะต้องมีการยอมรับและ Use case อื่นๆอีกมากกว่านี้ เช่นการที่ DeFi สามารถสร้าง Digital Asset แล้วมีการนำไปใช้จริงๆ อย่างเช่นกรณีที่ Dai กลายเป็นสินทรัพย์ยืที่ชาวอาร์เจนตินานิยมเก็บสะสมจากการผันผวนของสกุลเงิน ทำให้ตอนนี้มันยังอยู่ในช่วง Experiment มากๆ หนึ่งในสิ่งที่น่ากลัวของ Defi คือมันมีโอกาสซ้ำรอย ICO ที่มีจะ Bubble มาก (ในตอนนี้อาจจะยัง) ซึ่งปัจจุบันมันเป็นกระแสที่น่าสนใจแต่หาก Utility มันยังไม่มากพอและมูลค่ามันสูงมากกว่านี้ ก็ยังยากที่จะบอกว่าควรไว้วางใจได้ในแง่การลงทุน

การที่มันถูกสร้างมาเพียง 2 ปี แม้มันจะน่าสนใจแต่มันยังใหม่มาก มันคล้ายกับตอนที่ Bitcoin กำเนิด ขึ้นความเป็นไปได้ที่จะเกิดข้อผิดพลาดในการเขียนโปรแกรมก็ไม่ใช่ 0 เพราะฉะนั้นหากคิดจะใส่เงินลงไปก็ควรระมัดระวังกับมัน

 

ข้อขอบคุณข้อมูลเพิ่มเติมจาก พี่บิท จาก Bitinvestment และพี่ต้นฮ้อจากทีม Kulap ด้วยครับ

 

Article Suggest Article
Writer

Maybe You Like