ผลงานที่ผ่านมาของเงินรัฐบาล
การเชื่อมโยงระบบการเงินเข้ากับทองคำ แม้จะเป็นการเชื่อมโยงที่อ่อนเพียงใด ยังคงเป็นอุปสรรคที่น่ารำคาญสำหรับเหล่าลัทธิเงินเฟ้อในสหรัฐฯ โดยมันแสดงอาการออกมาสองรูปแบบหลักๆ ด้วยกัน ได้แก่ อาการแรกคือการที่ตลาดทองคำโลกพยายามที่จะสะท้อนความจริงเบื้องหลังลัทธิเงินเฟ้อด้วยการประราคาทองคำให้สูงขึ้น ปัญหาดังกล่าวได้รับการตอบรับแก้ไขผ่านการจัดตั้งกองทุนร่วมทองคำลอนดอน (London Gold Pool)อเพื่อที่จะกดราคาทองคำโดยทยอยนำเอาทองคำสำรองในคลังของรัฐบาลต่างๆ มาปล่อยออกสู่ตลาด ความพยายามนี้ได้ผลเพียงชั่วคราว ในปีค.ศ. 1968 เงินดอลลาร์สหรัฐฯก็จำเป็นต้องเริ่มถูกตีมูลค่าเมื่อเทียบกับทองคำใหม่ เพื่อเป็นการยอมรับช่วงปีของภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นก่อนหน้า อาการที่สองของปัญหาเกิดจากการที่บางประเทศเริ่มพยายามที่จะนำทองคำสำรองของพวกเขากลับคืนจากสหรัฐฯ เนื่องจากประเทศเหล่านี้เริ่มตระหนักถึงการเสื่อมอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยของเงินกระดาษของพวกเขา ประธานาธิบดี Charles de Gaulle แห่งฝรั่งเศสถึงกับส่งเรือบรรทุกเครื่องบินไปยังสหรัฐเพื่อทำการขนทองคำของฝรั่งเศสกลับคืนมา แต่เมื่อประเทศเยอรมนีต้องการที่จะเรียกคืนทองคำของพวกเขาบ้าง สหรัฐฯกลับตัดสินใจยุติสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากทองคำสำรองของสหรัฐก็เริ่มที่จะร่อยหรอ และในวันที่ 15 สิงหาคม ปีค.ศ. 1971 ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ก็ประกาศยุติความสามารถในการแปลงดอลลาร์เป็นทองคำ และปล่อยให้ราคาตลาดของทองคำลอยตัวอย่างอิสระ พูดง่ายๆก็คือ สหรัฐฯ ผิดคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ ในการนำเอาเงินดอลลาร์กลับมาแลกคืนเป็นทองคำนั่นเอง อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศต่างๆในโลก ที่ IMF มีหน้าที่ในการรักษาเอาไว้ ถูกปล่อยให้ลอยตัวและปรับเปลี่ยนตามการเคลื่อนที่ของสินค้า และ เงินทุน ระหว่างประเทศต่างๆ และ กลไกของตลาด ซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศที่ทวีความซับซ้อนขึ้นทุกวัน
เมื่อเป็นอิสระจากพันธนาการของการแสร้งว่าดอลลาร์สามารถแลกเปลี่ยนคืนเป็นทองคำได้ รัฐบาลสหรัฐฯก็เดินหน้าขยายนโยบายทางการเงินของพวกเขาในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงอย่างรวดเร็ว และ ราคาข้าวของต่างๆ ปรับตัวสูงขึ้นโดยทั่วกัน รัฐบาลสหรัฐฯ และ นักเศรษฐศาสตร์ของพวกเขา โทษทุกสิ่งทุกอย่าง และ ทุกคนในโลก ว่าเป็นต้นเหตุของการที่ราคาสินค้าแพงขึ้น แต่กลับไม่มีใครพูดถึงต้นเหตุที่แท้จริง นั่นคือการการเพิ่มปริมาณของอุปทานเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เงินสกุลอื่นๆ ส่วนมาก ยิ่งประสบปัญหาที่รุนแรงยิ่งกว่า เนื่องจากพวกเขาต้องรับผลกรรมจากความเฟ้อของเงินดอลลาร์สหรัฐสำรองในคลังของพวกเขา พร้อมทั้งเงินเฟ้อที่เกิดจากการกระทำของธนาคารกลางของพวกเขาเองอีกด้วย
การตัดสินใจของประธานาธิบดีนิกสันในครั้งนี้ เป็นการเสร็จสิ้นกระบวนการที่เริ่มต้นขึ้นพร้อมกับสงครามโลกครั้งที่ 1 ในการนำพาระบบเศรษฐกิจโลกออกจากระบบมาตรฐานทองคำ สู่ระบบมาตรฐานที่ขึ้นกับสกุลเงินต่าง ๆ สำหรับโลกที่กำลังก้าวเข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ ประกอบกับการพัฒนาทางด้านการขนส่ง และ การสื่อสาร การมีอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศที่สามารถเคลื่อนที่ขึ้น-ลงได้อย่างอิสระ ทำให้เกิดสิ่งที่ Hoppe เรียกว่า “ระบบของการแลกเปลี่ยนโดยตรงเพียงบางส่วน” 13 ในปัจจุบันการซื้อของจากผู้คนที่อยู่อีกฟากหนึ่งของเส้นกั้นเขตแดนที่สมมุติขึ้นจำเป็นต้องอาศัยสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนมากกว่าเพียงสื่อเดี่ยว และ นั่นทำให้เราต้องกลับมาเผชิญกับปัญหาการขาดความสอดคล้องทางความต้องการอีกครั้ง เมื่อผู้ขายสินค้า ไม่ได้ต้องการสกุลเงินที่ผู้ต้องการซื้อสินค้ามี จนส่งผลให้ผู้ที่ต้องการซื้อสินค้าจำเป็นต้องซื้อเงินในสกุลที่ผู้ขายสินค้าต้องการเสียก่อน และต้องเสียค่าใช้จ่ายในการแปลงค่าเงินอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ้ง เมื่อพัฒนาการทางการขนส่ง และ การสื่อสาร ส่งผลให้เศรษฐกิจของโลกเกิดการเชื่อมต่อกันมากขึ้น ต้นทุนที่เกิดจากความไร้ประสิทธิภาพนี้ ก็ยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตลาดซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่มีกระแสเงินไหลผ่านสูงถึง $5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวันนั้น เกิดขึ้นเพียงเพราะความไร้ประสิทธิภาพที่เกิดขึ้นจากการไม่มีสกุลเงินสากลที่ทุกประเทศสามารถใช้ร่วมกันได้เท่านั้น
ขณะที่รัฐบาลส่วนใหญ่สร้างสกุลเงินของตัวเองอยู่นั้นรัฐบาลสหรัฐฯกลับเป็นประเทศเดียวที่สร้างเงินสำรองที่มีรัฐบาลอื่นๆนำไปใช้เป็นเงินสำรอง นี่ถือเป็นครั้งแรกในหน้าประวัติศาสตร์ที่เศรษฐกิจทั่วทั้งโลกตั้งอยู่บนเงินที่ออกโดยรัฐบาล การตั้งคำถามเกี่ยวกับความมั่นคงของเงินรูปแบบหลักของโลกในปัจจุบันนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญที่คุ้มค่าแก่เวลา แม้ในแวดวงวิชาการส่วนใหญ่จะมองว่าเป็นเรื่องปกติที่ไม่มีข้อกังขาใดๆก็ตาม
มันเป็นไปได้ในทางทฤษฎีที่จะสร้างสินทรัพย์ที่มีความขาดแคลนเทียมๆ และมอบบทบาทหน้าที่ทางการเงินให้กับมัน นั่นคือสิ่งที่รัฐบาลต่างๆ ทั่วโลกกระทำหลังจากทีพวกเขาได้ละทิ้งระบบมาตรฐานทองคำลง รวมไปถึงผู้ที่สร้างบิตคอยน์ขึ้นมา แม้ผลลัพท์ที่ได้จะมีความแตกต่างกัน หลังจากที่ความสัมพันธ์ระหว่างเงินของรัฐกับทองคำหมดสิ้นลง เงินกระดาษก็มีอัตราการเจริญเติบโตของอุปทานที่สูงกว่าทองคำมาเสมอ และผลลัพท์ก็คือการเสื่อมมูลค่าของพวกมันอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับทองคำ ปริมาณอุปทานของเงิน M2 ทั้งหมดของสหรัฐฯ ในปีค.ศ. 1971 มีปริมาณราว $6 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ในปัจจุบัน ปริมาณดังกล่าวสูงกว่า $12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นอัตราการเจริญเติบโตเฉลี่ยที่ 6.7% ต่อปีตามลำดับ ในปีค.ศ. 1971 ทองคำ 1 ออนซ์ มีมูลค่า $35 เหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่ปัจจุบันทองคำมีมูลค่ามากกว่า $1,200 เหรียญสหรัฐฯ
การศึกษาประวัติของเงินรัฐบาล ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของอัตราส่วนปริมาณ-ต่อ-กระแส ของสกุลเงินทั้งหลายในเวลาต่างๆ สกุลเงินของประเทศพัฒนาแล้วที่มีความมั่นคง และ แข็งแกร่งกว่า มักมีอัตราการเจริญเติบโตต่ำกว่าร้อยละสิบ แต่มีความผันผวนที่สูงกว่า รวมไปถึงการหดตัวของอุปทานในช่วงภาวะเงินฝืดเมื่อเกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ14 ส่วนประเทศที่กำลังพัฒนานั้น พบกับเหตุการณ์ที่อุปทานของเงิน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วใกล้เคียงกัยสินค้าอุปโภคบริโภคหลายต่อหลายครั้ง นำมาสู่วิกฤติเงินเฟ้อขั้นรุนแรง และ การทำลายความมั่งคั่งของประชาชน ธนาคารโลกได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการเติบโตของปริมาณเงินตามความหมายอย่างกว้าง (Broad money) จาก 167 ประเทศในช่วงระหว่างปีค.ศ. 1960 ถึง 2015 โดยแสดงข้อมูลค่าเฉลี่ยรายปีไว้ในรูปที่ 6 แม้ข้อมูลอาจไม่ครบถ้วนสำหรับบางประเทศในบางปี แต่ค่าเฉลี่ยของอัตราการเติบโตของอุปทานเงินนั้น สูงถึง 32.16% ต่อปีต่อประเทศ
รูปที่ 6 อัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยของปริมาณเงินตามความหมายกว้าง (Broad money) จาก 167 สกุลเงินตั้งแต่ปีค.ศ. 1960-2015
ตัวเลข 32.16% ไม่รวมช่วงปีที่เกิดวิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรง ระหว่างที่สกุลเงินถูกทำลายอย่างสิ้นซาก และ แทนที่ด้วยสกุลเงินแบบใหม่ ผลวิเคราะห์นี้จึงไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่าสกุลเงินใดประสบกับชะตากรรมที่เลวร้ายที่สุด เนื่องจากข้อมูลที่สำคัญบางข้อมูลไม่สามารถถูกนำมาเปรียบเทียบได้ แต่ถ้าเราลองดูรายชื่อประเทศที่มีอัตราการเติบโตของอุปทานเงินสูงสุด จะพบกับรายชื่อของประเทศที่ต้องเผชิญกับปัญหาจากภาวะเงินเฟ้ออยู่หลายครั้งตลอดช่วงเวลาที่ทำการศึกษา ตารางที่ 3 แสดงรายชื่อประเทศที่มีอัตราการเติบโตของอุปทานเงินเฉลี่ยต่อปีสูงที่สุดสิบประเทศ
ตารางที่ 3 ประเทศที่มีค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของอุปทานเงินตามความหมายกว้างสูงสุดสิบประเทศ, ค.ศ. 1960 – 2015
ประเทศ |
ค่าเฉลี่ย |
Nicaragua | 480.24 |
Congo, Dem. Rep. | 410.92 |
Angola | 293.79 |
Brazil | 266.57 |
Peru | 198.00 |
Bolivia | 184.28 |
Argentina | 148.17 |
Ukraine | 133.84 |
Azerbaijan | 109.25 |
Armenia | 100.67 |
ในช่วงเวลาที่เกิดวิกฤติภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ประชาชนในประเทศกำลังพัฒนาต่างขายสกุลเงินของประเทศตน เพื่อแลกซื้อสินค้าคงทน, ทองคำ, และสกุลเงินต่างประเทศเก็บไว้ สกุลเงินสำรองระหว่างประเทศเช่น ดอลลาร์, ยูโร, เยน, และฟรังก์สวิสที่สามารถหาซื้อได้เกือบทุกที่บนโลก แม้อาจจำเป็นต้องใช้ตลาดมืด กลายเป็นที่ต้องการ และ เป็นสัดส่วนขนาดใหญ่ของความต้องการสิ่งที่ตอบสนองหน้าที่การเป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่า เมื่อเราพิจารณาถึงอัตราการเติบโตของอุปทานของเงินเหล่านี้ ที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเงินสกุลอื่นๆ ก็จะเห็นได้ชัดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น และเมื่อสกุลเงินเหล่านี้กลายเป็นทางเลือกหลักสำหรับการเก็บรักษามูลค่าแล้ว จึงเป็นการสมควรที่เราจะศึกษาอัตราการเติบโตของอุปทานของพวกมัน แยกออกจากสกุลเงินอื่นๆที่มีความเสถียรน้อยกว่า ตารางที่ 4 แสดงรายชื่อสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในตลาดซื้อ-ขายแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ควบคู่กับอัตราการเติบโตของอุปทานเงินตามความหมายอย่างกว้างระหว่างช่วงค.ศ. 1960-2015 และค.ศ. 1990-201516 ค่าเฉลี่ยการเติบโตของอุปทานเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดสิบอันดับมีค่า 11.13% ในช่วงค.ศ. 1960-2015 และเหลือเพียง 7.79% ในช่วงค.ศ. 1990-2015 ผลการศึกษานี้แสดงให้เห็นว่า สกุลเงินที่ได้รับการยอมรับสูงที่สุด และมีความสามารถทางการขายสูงทีสุดในโลก ล้วนแล้วแต่มีอัตราส่วนปริมาณ-ต่อ-กระแสที่สูงกว่าเงินสกุลอื่นๆ เป็นไปตามการคาดเดาจากการวิเคราะห์ของหนังสือเล่มนี้
ตารางที่ 4 ค่าเฉลี่ยอัตราการเติบโตของอุปทานเงินตามความหมายอย่างกว้าง สำหรับสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกสิบอันดับ (หน่วย:ร้อยละ)
Annual Money Supply Growth Rate | ||
Country/Region | 1960–2015 | 1990–2015 |
United States | 7.42 | 5.45 |
Euro Area (19 countries) | 5.55 | |
Japan | 10.27 | 1.91 |
United Kingdom | 11.30 | 7.28 |
Australia | 10.67 | 9.11 |
Canada | 11.92 | 10.41 |
Switzerland | 6.50 | 4.88 |
China | 21.82 | 20.56 |
Sweden | 7.94 | 6.00 |
New Zealand | 12.30 | 6.78 |
ในช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 ที่เป็นจุดเริ่มต้นยุคสมัยของการลอยตัวสกุลเงินในแต่ละประเทศ ก็เปฺ็นช่วงเวลาที่ประเทศส่วนใหญ่ประสบกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงด้วยเช่นกัน จนช่วงหลังปีค.ศ. 1990 สถานการณ์จึงปรับตัวดีขึ้น โดยข้อมูลจากองค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ระบุว่ากลุ่มประเทศ OECD มีอัตราการเติบโตของอุปทานเงินโดยเฉลี่ยเพียง 7.17% ในช่วงปี 1990 ถึง 2015
เราสามารถเห็นได้ว่าเหล่าสกุลเงินหลักๆ ของโลกมีการเพิ่มขึ้นของอุปทานในอัตราที่ต่ำและสามารถคาดเดาได้ กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมีการเติบโตของอุปทานเงินในอัตราที่ต่ำกว่ากลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่ต่างต้องเผชิญกับปัญหาข้าวยากหมากแพง ข้าวของปรับราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และยังเกิดวิกฤติเงินเฟ้อขั้นรุนแรงอีกหลายครั้งในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วมักมีอัตราการเติบโตของอุปทานเงินอยู่ระหว่าง 2%-8% เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี และแทบไม่เคยขึ้นไปสูงกว่า 10% หรือลดลงต่ำกว่า 0% เลยตลอดช่วงเวลาดังกล่าว ขณะที่กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามักมีอัตราการเติบโตของอุปทานเงินที่ผันผวนสูง และ คาดเดาได้ยาก โดยสามารถขึ้นไปสูงกว่าเลขสอง. สาม. หรือ สี่ต่ำแหน่ง และ ร่วงกลับลงมาติดลบได้เป็นบางครั้ง ซึ่งเป็นการสะท้อนความไม่มั่นคงทางการเงินของกลุ่มประเทศเหล่านี้ (ดู รูปที่ 7 17)
การเติบโตที่ 5% ต่อปีอาจดูเหมือนไม่มากนัก แต่มันสามารถทำให้อุปทานเงินของประเทศเพิ่มขึ้นถึงสองเท่าได้ในเพียง 15 ปี นี่เป็นเหตุผลที่โลหะเงินพ่ายแพ้ต่อทองคำ เนื่องจากอัตราการเติบโตของอุปทานของทองคำที่ต่ำกว่า ส่งผลให้มันมีการสูญเสียกำลังซื้อที่ต่ำกว่านั่นเอง
วิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงเป็นหายนะทางเศรษฐกิจที่สามารถเกิดขึ้นได้กับเงินของรัฐบาลเท่านั้น ไม่เคยปรากฏตัวอย่างทางประวัติศาสตร์ของการเกิดวิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงในเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนระบบมาตรฐานทองคำหรือโลหะเงินมาก่อน แม้เมื่อเงินโบราณอย่างเปลือกหอย และ ลูกปัด สูญเสียบทบาททางการเงินของพวกมันลงเมื่อเวลาผ่านไป พวกมันก็ค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ โดยที่มีสิ่งใหม่ค่อยๆเข้ามาแทนที่กำลังซื้อของเงินรูปแบบเดิม แต่กับเงินของรัฐบาล ที่แทบไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆในการผลิตแล้วนั้น มันมีความเป็นไปได้ที่สังคมทั้งสังคม จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทรัพย์สมบัติที่สะสมเอาไว้ในรูปของเงินทั้งหมด จะสามารถเสื่อมค่าและสลายหายไปในเวลาเพียงไม่กี่เดือน หรือไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
วิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงนั้น เป็นปรากฎการณ์ที่ส่งผลร้ายมากไปกว่าการสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจของผู้คนจำนวนมากเพียงเท่านั้น แต่มันคือการล่มสลายอย่างสิ้นเชิงของโครงสร้างทางการผลิต และ เศรษฐกิจของสังคมที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเป็นเวลาหลายศตวรรศหรือสหสหัสวรรษ การล่มสลายของเงินนั้น ส่งผลให้ผู้คนไม่สามารถทำการค้าขาย, ผลิตสินค้า, หรือทำกิจการใดๆนอกเหนือไปจากการเอาชีวิตรอดไปวันๆ และ เมื่อโครงสร้างของการผลิต และ การค้าขายที่สังคมใช้เวลาพัฒนามาหลายศตวรรษพังทลายลงเนื่องจากผู้บริโภค, ผู้ผลิต, และ แรงงาน ไม่มีความสามารถในการจ่ายค่าตอบแทนให้กันและกันได้อีกต่อไป บรรดาสินค้าต่างๆ ที่มนุษย์เห็นเป็นสิ่งธรรมดาก็จะเริ่มทยอยหายไป ทุนทรัพย์จะถูกทำลายเพื่อนำไปขายเป็นทุนในการบริโภค สิ่งที่จะหายไปก่อนคือสินค้าฟุ่มเฟือยทั้งหลาย แต่หลังจากนั้นไม่นานสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตก็จะค่อยๆหายไปด้วยเช่นกัน จนมนุษย์ต้องย้อนกลับไปสู่สถานะป่าเถื่อน ที่พวกเขาจำเป็นต้องหาเลี้ยงชีพตนเอง และ ต้องเผชิญความยากลำบากเพียงเพื่อการได้มาซึ่งปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต เมื่อคุณภาพชีวิตของคนถดถอยลงอย่างเห็นได้ชัด ความสิ้นหวังก็จะเริ่มกลายเป็นความโกรธ ผู้คนจะเริ่มมองหาแพะรับบาป และ จังหวะนี้เองเหล่านักการเมืองที่นิยมการปลุกปั่น และ ถนัดการฉวยโอกาศทีสุด ก็จะใช้สถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์ เปลี่ยนความกลัวของประชาชนให้เป็นอำนาจทางการเมือง ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์คือเหตุการวิกฤติภาวะเงินเฟ้อที่สาธารณรัฐไวมาร์ในช่วงทศวรรษ 1920 ที่ไม่เพียงแต่เป็นการทำลายล้าง และ การล่มสลายอย่างสิ้นเชิงของหนึ่งในเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า และ รุ่งเรืองที่สุดในโลก แต่มันยังเป็นเชื้อเพลิงที่ขับเคลื่อนให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมา
แม้กระทั้งหากตำราทั้งหลายกล่าวว่าการบริหารจัดการอุปทานเงินนั้นมีประโยชน์โดยแท้จริง แต่ความเสียหายที่เกิดจากการเกิดวิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงที่ใดก็ตามในโลกนั้น ก็ยังส่งผลเสียรุนแรงกว่าประโยชน์ที่ได้ทั้งหมดอยู่ดี และในช่วงศตวรรษของเงินรัฐบาลก็ได้เกิดเหตุการณ์หายนะดังกล่าวมาแล้วหลายต่อหลายครั้ง
ขณะที่ผมกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้ ก็ถึงคราวที่เวเนซูเอลากำลังเผชิญกับโศกนาฎกรรม และ ความพินาศที่เกิดจากการทำลายล้างเงิน และ กระบวนการดังกล่าวก็ได้เกิดขึ้นมาแล้วก่อนหน้าถึง 56 ครั้ง นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ตามการศึกษาวิจัยของ สตีฟ แฮงกี และ ชาร์ลส์ บุชเนล ที่ให้คำจำกัดความวิกฤติเงินเฟ้อขั้นรุนแรงไว้ว่าหมายถึงเหตุการณ์ที่ราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 50% ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งเดือน โดย แฮงกี และ บุชเนล สามารถตรวจสอบเหตุการณ์วิกฤติภาวะเงินเฟ้อขั้นรุนแรงในประวัติศาสตร์ได้มากถึง 57 ครั้ง18 มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่วิกฤติดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนยุคชาตินิยมทางการเงิน และ นั่นคือวิกฤติภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นในปีค.ศ. 1795 ที่ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเกิดขึ้นตามหลังเหตุการณ์ฟองสบู่มิสซิสซิปปี ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดจากเงินของรัฐบาลภายใต้การบงการของ จอห์น ลอว์ ผู้เป็นบิดากิติมศักดิ์แห่งรูปแบบเงินรัฐบาลสมัยใหม่
ปัญหาของเงินที่รัฐบาลเป็นควบคุม อยู่ที่ความยากในการผลิตของมัน ขึ้นอยู่กับความสามารถในการยับยั้งชั่งใจไม่ผลิตมันเพิ่มของผู้มีอำนาจเท่านั้น เนื่องจากความยากในผลิตของมันที่จะเป็นตัวกำหนดว่ารัฐบาลจะสามารถผลิตเงินเพิ่มขึ้นได้มากเท่าไหร่ ไมได้ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางกายภาพ, เศรษกิจ, หรือธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่ขึ้นอยู่กับข้อจำกัดทางการเมืองเพียงเท่านั้น วัว, โลหะเงิน, ทองคำ, หรือ เปลือกหอย ต่างต้องอาศัยความพยายามอย่างสูงในการผลิต และ พวกมันไม่สามารถถูกผลิตขึ้นเป็นจำนวนมหาศาลได้ตามใจชอบ แต่การผลิตเงินของรัฐบาลนั้น อาศัยเพียงคำสั่ง (fiat) ของรัฐบาลเท่านั้น อุปทานของเงินที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องย่อมหมายถึงการลดค่าของเงินอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน เป็นการโยกย้ายความมั่งคั่งออกจากมือของผู้ถือครองเงินนั้น ไปสู่มือของผู้ผลิต และผู้ที่ใกล้ชิดกับแหล่งผลิตเงินดังกล่าว19 ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าท้ายที่สุด รัฐบาลก็จะตกเป็นเหยื่อของความเย้ายวนจากการผลิตอุปทานเงินเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเนื่องมาจากการใช้อำนาจฉ้อราษฎร์บังหลวง, สถานการณ์ฉุกเฉินระดับชาติ, หรือการแพร่ระบาดของเศรษฐศาสตร์สำนักลัทธิเงินเฟ้อ ไม่ว่าอย่างไร รัฐบาลย่อมสามารถหาเหตุผลเพื่อที่จะผลิตเงินเพิ่ม เพื่อขยายขอบเขตอำนาจรัฐ และ ลดระดับความมั่งคั่งของผู้ถือครองเงินได้เสมอ การกระทำเช่นนี้ไม่ต่างการการที่ผู้ผลิตทองแดงเพิ่มอัตราการผลิตทองแดงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการทางการเงิน ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ผลิตทองแดง แต่เป็นผลร้ายต่อผู้ที่เลือกออมทรัพย์ไว้ในรูปของทองแดง
หากสกุลเงินใดสามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ว่าอุปทานของมันไม่สามารถถูกขยายได้ มันก็จะมีมูลค่าสูงขึ้นในทันที ในปีค.ศ. 2003 เมื่อสหรัฐฯบุกโจมตีอิรัก ธนาคารกลางของอิรักได้ถูกทำลายลงด้วยการโจมตีทางอากาศ และทำให้รัฐบาลอิรักหมดความสามารถในการผลิตเงินดินาร์อิรักเพิ่มขึ้นได้ เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ค่าเงินดินาร์อิรักพุ่งสูงขึ้นในชั่วข้ามคืน เนื่องจากประชาชนชาวอิรักมีความเชื่อมั่นในสกุลเงินของตนมากขึ้นเมื่อไม่มีธนาคารกลางที่จะคอยผลิตมันเพิ่มขึ้นได้อีกต่อไป20 เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นกับเงินชิลลิ่งโซมาลีเมื่อธนาคารกลางของพวกเขาถูกทำลายลง21 เห็นได้ชัดว่า เงิน เป็นที่ต้องการมากกว่าในขณะที่มันเป็นสิ่งขาดแคลน เทียบกับในขณะที่มันสามารถถูกทำให้เสื่อมมูลค่าได้ตลอดเวลา
มีเหตุผลเพียงไม่กี่ประการที่ทำให้เงินรัฐบาลเป็นเงินรูปแบบหลักในยุคสมัยปัจจุบัน ประการแรกเนื่องมาจากการที่รัฐบาลกำกับว่าการจ่ายภาษี จำเป็นต้องใช้เงินของรัฐบาลเพียงเท่านั้น การสร้างความได้เปรียบทางความสามารถในการขายนี้ ย่อมหมายความว่าผู้คนจะพร้อมยอมรับเงินรัฐบาลได้ง่ายขึ้น ประการที่สอง เนื่องจากกฎระเบียบทางการเงิน และ การควบคุมของรัฐบาล ทำให้ธนาคารสามารถเปิดบัญชี และ ทำธุรกรรมทางการเงินได้โดยใช้เงินที่รัฐบาลเป็นผู้สร้างให้เท่านั้น ส่งผลให้เงินของรัฐบาล มีความสามารถในการขายสูงกว่าเงินประเภทอื่นๆ ที่เป็นคู่แข่งเป็นอย่างมาก ประการที่สาม กฎหมายที่ว่าด้วยเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ทำให้การใช้เงินประเภทอื่นๆ ในการชำระเงินนั้น เป็นเรื่องผิดกฎหมายในหลายๆ ประเทศ ประการที่สี่ เงินรัฐบาล ล้วนมีทองคำสำรอง หรือ เงินที่หนุนหลังด้วยทองคำสำรองเป็นทรัพย์หนุนหลังอยู่ทั้งสิ้น ข้อมูลจากสภาทองคำโลก (World Gold Council) แสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางทั้งหลาย มีการสำรองทองคำประมาณ 33,000 ตันไว้ในคลัง อัตราการสำรองทองคำของธนาคารกลางพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงต้นศตวรรษที่ยี่สิบ เนื่องจากรัฐบาลจำนวนมาก ทำการยึดทองคำจากประชาชน และ ธนาคาร โดยแลกกับเงินของรัฐบาล ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 เมื่อระบบเบรตตันวูดส์กำลังเผชิญแรงกดดันจากการเพิ่มอุปทานของเงิน รัฐบาลต่างๆ ก็เริ่มทะยอยนำทองคำที่สำรองไว้บางส่วนออกมาขายสู่ตลาด แต่ในปีค.ศ. 2008 กลับเกิดกระแสตรงกันข้าม โดยธนาคารกลางต่างๆ เริ่มกลับมาซื้อทองคำและส่งผลให้ปริมาณทองคำที่เก็บสะสมทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้น มันช่างเป็นเรื่องที่น่าขัน และเป็นอาการที่ฟ้องถึงความเป็นจริงได้ดี เมื่อในยุคสมัยของเงินรัฐบาลนั้น รัฐบาลเองกลับเป็นเจ้าของทองคำมากกว่าในยุคสมัยของระบบมาตรฐานทองคำในช่วงปีค.ศ. 1871-1914 เสียอีก เห็นได้ชัดว่า ทองคำ ไม่ได้สูญเสียบทบาททางการเงินของมันลงไปเลย หากแต่มันยังคงเป็นทรัพย์สินขั้นสุดท้ายที่สามารถใช้ปลดหนี้ได้, ทองคำยังคงเป็นเงินประเภทเดียวที่มูลค่าของมันนั้น ไม่ได้เป็นภาระของใครอื่นใดนอกจากตัวมันเอง, และ ยังคงเป็นทรัพย์สินหลักของโลกที่ไม่ต้องเผชิญต่อความเสี่ยงจากการบิดพลิ้วของคู่สัญญาหรือคู่ค้าแต่อย่างใด มีเพียงแต่การเข้้าถึงทองคำในฐานะของเงินเท่านั้น ที่ถูกควบคุมกีดกันและเก็บเอาไว้ให้เหล่าธนาคารกลางเท่านั้น ส่วนผู้คนทั่วไปถูกต้อนให้ใช้งานเงินของรัฐบาลแทน
ทองคำสำรองจำนวนมากของธนาคารกลางสามารถใช้เป็นทุนสำรองเพื่อนำไปขายหรือปล่อยกู้ในตลาดทองคำได้ เพื่อควบคุมไม่ให้ราคาทองคำสูงขึ้นเมื่อมีความต้องการสูงขึ้น และ ปกปักษ์รักษาอำนาจผูกขาดของเงินรัฐบาล ดังที่อลัน กรีนสแปน ได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า “ธนาคารกลาง พร้อมให้กู้ทองคำเสมอ หากราคาทองคำสูงขึ้น”22 (ดูรูปที่ 423)
เมื่อพัฒนาการทางเทคโนโลยีส่งผลให้รูปแบบของเงินสามารถมีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงเงินกระดาษที่สะดวกต่อการพกพาไปไหนมาไหน ปัญหาใหม่ๆที่เกี่ยวกับความสามารถทางการขายของเงินก็ตามมาด้วยเช่นกัน และ สิ่งนั่นก็คือปัญหาของการที่ผู้ขายสินค้าจะสามารถขายสินค้าของเขาได้โดยหลีกเลี่ยงการแทรกแซงจากบุคคลที่สามที่อาจสร้างข้อจำกัดบนความสามารถในการขายของเงินที่ได้รับมาได้ นี่เป็นปัญหาที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้กับเงินที่เป็นสินค้า เนื่องจากราคาสินค้านั้น เป็นผลลัพท์ที่ปรากฎตัวขึ้นมาจากตลาด และไม่สามารถถูกกำหนดได้โดยตัวกลางหรือบุคคลที่สามคนใด ทั้งวัว, เกลือ, ทองคำ, และ โลหะเงิน ล้วนแล้วแต่มีตลาด และ ผู้ซื้อที่มีความต้องการในตัวมัน แต่สำหรับเงินรัฐบาลที่แทบไม่มีมูลค่าใดๆในเชิงของการเป็นสินค้า ความสามารถในการขายของมันนั้น สามารถถูกแทรกแซงได้โดยรัฐบาลที่เป็นผู้ผลิตมันขึ้นมาเอง ด้วยการประกาศว่ามันหมดสภาพการเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ชาวอินเดียที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันที่ 8 พฤษจิกายน ค.ศ. 2016 เพียงเพื่อเจอกับเหตุการณ์ที่รัฐประกาศระงับสถานะการเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายของธนบัตร 500 และ 1,000 รูปีทั้งหมดย่อมสามารถเข้าใจในประเด็นดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากด้วยเวลาเพียงชั่วขณะ สิ่งที่เคยเป็นเงินที่มีความสามารถทางการขายสูงมาก กลับสูญเสียคุณค่าของมันลงในทันที และผู้คนต่างต้องพากันไปต่อแถวอันยาวเหยียด เพื่อที่จะนำมันไปแลกที่ธนาคาร เมื่อนับวันโลกยิ่งเดินทางออกห่างจากการพึ่งพาอาศัยเงินสด เงินของผู้คนก็ถูกนำไปเก็บไว้ในธนาคารที่อยูาใต้อำนาจของรัฐบาลมากขึ้นทุกวัน ทำให้เงินเหล่านั้นเสี่ยงต่อการถูกยึด หรือ ควบคุม และการที่กระบวนการเกล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนต้องการเงินของพวกเขามากที่สุดแล้ว ยิ่งเป็นการซ้ำเติมความสามารถในการขายของเงินรัฐบาลให้ต่ำลงไปอีก
การควบคุมเงินของรัฐบาล ได้เปลี่ยนสถานะของเงินจากการเป็นสิ่งตอบแทนสำหรับการสร้างคุณค่า ไปสู่การเป็นสิ่งตอบแทนความเชื่อฟังเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ มันเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ที่บุคคลใดจะสามารถสร้างความมั่งคั่งได้ด้วยเงินรัฐบาล หากบุคคลนั้นไม่ได้เป็นบุคคลที่รัฐบาลรับรอง รัฐบาลสามารถยึดเงินได้ผ่านธนาคารที่อยู่ใต้การควบคุมของรัฐ, ผลิตเงินเพิ่มเพื่อลดมูลค่าทรัพย์สินของประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน และ นำมูลค่านั้นไปให้กับผู้ติดตามที่จงรักภักดีที่สุด, ออกกฎหมายภาษีขูดเลือดขูดเนื้อ และ ลงโทษผู้ที่เลี่ยงภาษี, และยังสามารถยึดธนบัตรจากมือของประชาชนได้โดยตรงอีกด้วย
ขณะที่ในยุคสมัยของนักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน คาร์ล เมนเงอร์ นั้น เกณฑ์และปัจจัยในการพิจารณาว่าสิ่งใดจะเป็นเงินได้ดีที่สุดนั้น ล้วนเกี่ยวข้องกับการทำความเข้าใจถึงความสามารถในการขาย และ การตัดสินใจของตลาดในการเลือกสิ่งที่นำมาใช้เป็นเงิน แต่ในศตวรรษที่ยี่สิบ การที่รัฐมีอำนาจควบคุมเงินส่งผลให้เกิดเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยด้านความสามารถในการขายใหม่ที่สำคัญ นั่นก็คือ ความสามารถในการขายเงินได้ตามความต้องการของเจ้าของเงินโดยไม่ขึ้นอยู่กับบุคคลอื่นใด เมื่อนำเอาปัจจัยต่างๆ เหล่านี้มารวมกัน จะทำให้เราเกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์ในความหมายของ ‘เงินที่มั่นคง’ ที่หมายความถึงเงินที่ถูกเลือกโดยตลาดอย่างเสรี และ เงินที่อยู่ภายใต้อำนาจการควบคุมของผู้ที่ได้มันมาจากตลาดเสรีอย่างถูกต้องโดยสมบูรณ์ และ ไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจของบุคคลที่สาม
แม้เขาจะเป็นผู้ปกป้องบทบาททางการเงินของทองคำอย่างแข็งขัน แต่ลุดวิก วอน มีสเซส เข้าใจดีว่าบทบาททางการเงินนี้ไม่ได้เป็นคุณสมบัติตามธรรมชาติของทองคำ ในฐานะหนึ่งในผู้นำของหลักเศรษฐศาสตร์สำนักออสเตรียน มีสเซส เข้าใจเป็นอย่างดีว่ามูลค่านั้นเป็นเพียงสัญญะที่ไม่ได้มีตัวตนอยู่นอกขอบเขตของความคิดของมนุษย์ และว่าโลหะ และ สสารต่างๆ ไม่ได้มีอะไรในตัวมันที่จะกำหนดให้มันเป็นเงินได้ สำหรับมีสเซส สถานะความเป็นเงินของทองคำนั้น มาจากการที่มันสามารถตอบโจทย์ของการเป็นเงินที่มั่นคงตามความเข้าใจของเขานั่นเอง
หลักการพื้นฐานของเงินมั่นคงมีอยู่สองประการด้วยกัน นั่นคือ การสนับสนุนรับรองการตัดสินใจของตลาดในการเลือกสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนที่ใช้โดยทั่วกัน และ การต่อต้านขัดขวางความพยายามของรัฐบาลในการแทรกแซงระบบการเงิน24
ดังนั้น เงินที่มั่นคง ตามความหมายของมีสเซส จึงหมายถึงสิ่งที่ตลาดเลือกให้เป็นเงินโดยเสรี และเป็นสิ่งที่อยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เป็นเจ้าของของมัน ปลอดภัยจากการแทรกแซง และก้าวก่ายเชื้อชวน เพราะตราบใดที่เงินตกอยู่ภายใต้การควบคุมของใครก็ตามที่ไม่ใช่เจ้าของแล้ว ใครก็ตามที่มีอำนาจควบคุมเงินนั้น ย่อมต้องเผชิญต่อแรงจูงใจอันแรงกล้า ที่จะปล้นเอามูลค่าของเงินนั้นมาเป็นของตน ไม่ว่าจะผ่านการสร้างภาวะเงินเฟ้อ หรือ การยึดเอาเงินนั้นมาเป็นของตนเอง เพื่อที่จะนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการเมืองของตน โดยอาศัยทรัพย์สินของผู้เป็นเจ้าของเงินนั้น การกระทำเช่นนี้ ในที่สุดแล้วคือการนำเอามูลค่าความมั่งคั่งออกจากมือของผู้คนที่สร้างมันขึ้นมา และนำไปให้กับกลุ่มคนที่เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการควบคุมเงินทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ไม่ได้สร้างสิ่งใดที่มีค่าให้แก่สังคม เช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่พ่อค้าชาวยุโรปสามารถปล้นสะดมภ์สังคมชาวแอฟริกันได้โดยการนำเข้าลูกปัดราคาถูกจนล้นตลาด ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทที่ 2 ไม่มีสังคมใดที่จะสามารถเจริญรุ่งเรืองได้ ตราบใดที่ช่องทางการรวยลัดผ่านการรีดเลือดออกจากผู้คนที่พยายามสร้างความมั่งคั่งผ่านการสร้างมูลค่าดังกล่างยังเปิดอยู่ ในทางกลับกัน การมีเงินที่มั่นคงทำให้การสร้างมูลค่าผ่านสินค้า หรือ บริการ เป็นหนทางเดียวในการสร้างความร่ำรวยสำหรับทุกคน และส่งผลให้สังคมหันมาให้ความสำคัญต่อการผลิต, ความร่วมมือกัน, การสะสมเงินทุน, และการค้าแทน
ศตวรรษที่ 20 ถือเป็นศตวรรษของเงินที่ไม่มั่นคงและเป็นสมัยที่รัฐมีอำนาจเบ็ดเสร็จ ที่ตัวเลือกของเงินในตลาดถูกปฏิเสธด้วยบัญชาของรัฐบาล และ ผู้คนถูกบังคับให้ใช้เงินกระดาษที่ออกโดยรัฐบาลด้วยการขู่กรรโชกและความรุนแรง เมื่อเวลาผ่านไป รัฐบาลยิ่งเคลื่อนตัวออกห่างจากเงินที่มั่นคงมากขึ้น พร้อมกับอัตราการใช้จ่าย และ การขาดดุลที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา สกุลเงินของพวกเขาถูกลดมูลค่าลงอย่างต่อเนื่อง และส่วนแบ่งรายได้ประชาชาติก็ตกอยูาภายใต้การควบคุมของรัฐบาลมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนับวันรัฐบาลยิ่งเข้าไปก้าวก่ายวิถีชีวิตของประชาชนในทุกๆ แง่มุมมากขึ้น รวมถึงระบบการศึกษา ที่ถูกควบคุม และ ใช้เป็นเครื่องมือล้างสมองผู้คนด้วยความคิดเพ้อฝันที่ว่ากฎเกณฑ์ทางเศรษฐศาสตร์นั้นไม่สามารถใช้ได้กับรัฐบาล เนื่องจากยิ่งรัฐบาลใช้จ่ายมากเท่าใด ก็จะยิ่งสร้างความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นเท่านั้น ดังที่เหล่านักการเงินวิปลาสอย่างนาย จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ เที่ยวสอนตามมหาวิทยาลัยสมัยใหม่ ว่าการใช้จ่ายของรัฐนั้น มีเพียงแต่จะเกิดผลดี ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด เพราะในที่สุดแล้ว รัฐบาลไม่มีข้อจำกัดในการใช้จ่ายเลยแม้แต่น้อย เนื่องจากรัฐบาลสามารถพิมพ์เงินเท่าใดก็ได้ตามต้องการ และ ใช้มันในการบรรลุเป้าหมายใดก็ได้ของผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง
สำหรับผู้ที่บูชาอำนาจรัฐฯ และ มีความพึงพอใจกับการควบคุมเชิงเผด็จการ เช่นเหล่าผู้นำระบอบเผด็จการสังการหมู่ทั้งหลายในช่วงศตวรรษที่ยี่สิบ ระบบการเงินเช่นนี้เป็นเสมือนของขวัญจากเบื้องบน แต่สำหรับผู้คนที่เห็นคุณค่าของอิสรภาพ, ความสงบสุข, และการร่วมมือร่วมแรงกันของมนุษยชาติ มันเป็นช่วงเวลาที่น่าหดหู่ ที่ความหวังว่าจะมีการปฎิรูปทางการเมืองห่างไกลออกไปเรื่อยๆ และ ความหวังว่ากระบวนการทางการเมือง จะสามารถนำเรากลับสู่ความปกติทางการเงินนั้น กลายเป็นเพียงความฝันลมๆ แล้งๆ ขึ้นทุกวัน ดั่งที่ฟรีดดริค ฮาเย็ค ได้กล่าวไว้ว่า:
ผมไม่เชื่อว่าเราจะสามารถมีเงินที่ดีได้อีกเลยถ้าเราไม่สามารถเอาเงินออกมาจากเงื้อมมือของรัฐบาลได้ อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถเอามันออกมาจากมือของรัฐบาลได้ด้วยกำลัง สิ่งเดียวที่เราทำได้คือการหาทางอ้อมที่ชาญฉลาดบางอย่าง ในการสร้างสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งได้25
คำพูดของ ฟรีดดริค ฮาเย็ค ที่กล่าวไว้ในปีค.ศ. 1984 โดยปราศจากภาพที่ชัดเจนใดๆว่า “สิ่งทีพวกเขาไม่สามารถหยุดยั้งได้” นั้นคืออะไรนั้น กลับฟังดูน่าทึ่งในวันนี้ จนเมื่อเวลาผ่านไปสามทศวรรษหลังจากที่เขาได้กล่าวคำเหล่านั้นออกมา และ หนึ่งศตวรรษเต็มๆหลังจากที่รัฐบาลได้ทำลายเงินที่มั่นคง ซึ่งก็คือระบบมาตรฐานทองคำลงอย่างไม่เหลือร่องรอย ผู้คนทั่วโลกจึงมีโอกาสอีกครั้งที่จะสามารถเก็บออม และ กระทำธุรกรรมด้วยเงินรูปแบบใหม่ ที่ถูกเลือกโดยตลาดเสรีที่อยู่นอกเหนืออำนาจควบคุมของรัฐฯ แม้บิตคอยน์จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นชีวิตของมัน แต่มันกลับสามารถตอบสนองข้อพิจารณาเงินที่มั่นคงทั้งของเม็นเงอร์, มีสเซส, และ ฮาเย็ค ได้ทั้งหมด กล่าวคือ: มันเป็นทางเลือกของตลาดเสรี ที่มีความสามารถในการขายสูง และ มีความสามารถต้านทานการแทรกแซงก้าวก่ายของรัฐบาลได้นั่นเอง
Note:ผลงานแปลนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างเพจ Blockchain Review และ คุณพิริยะ สัมพันธารักษณ์ MD ของ Chaloke dotcom ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ
ใครอยากสนับสนุนหนังสือเล่มนี้ไปทำแบบสอบถามกันได้ที่ https://blockchain-review.co.th/article/the-bitcoin-standard-survey/