ถ้าหากว่าคุณเคยได้ยินคำว่า cryptocurrency หรือ bitcoin มีโอกาสที่คุณจะเจอคำว่า bubble หรือ ฟองสบู่ในย่อหน้าเดียวกัน ฟองสบู่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับ crypto ไปแล้วหลังที่ตลาด crypto ได้พุ่งขึ้นในปลายปี 2017 และเกิดการประเมินค่าและมูลค่าที่แท้จริงของ cryptocurrency เพื่อความชัดเจน
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ทุกเหคุการณ์ฟองสบู่นั้นไม่ได้เกิดขึ้นพร้อมกันทั้งหมด บางเหตุการณ์ก็มีการพูดถึงในสื่อต่างๆบ่อยครั้งมากกว่าเหตุการณ์อื่นๆ บางที crypto ก็มีความคล้ายคลึงกลับเหตุการณ์ในอดีตคือ dot-com bubble ในช่วงต้นปี 2000 และมันสามารถเข้าใจได้ง่าย ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถต้านทานการล่่อลวงของตลาดที่กำลังเฟื่องฟูได้ และมันเกิดในช่วงที่เทคโนยีเข้ามาแทนที่ของเทคโนยี และตลาดก็มีความผันผวนที่สูงมากรอบๆ blochchain technology
การตกต่ำของราคา crypto มีความคล้ายคลึงที่เห็นได้ชัด ตามที่ Bloomberg ได้รายงานเมื่อต้นสัปดาห์นี้ ตามที่ดัชนี Digital Asset ของ VanEck’s MVIS ซึ่งได้ติดตามราคา Digital Asset สิบอันดับแรก ลดลงกว่า 80 เปอร์เซ็นเมื่อเทียบกับจุดสูงสุดในเดือนมกราคมที่ผ่านมา เหตุการณ์นี้ดูน่าทึ่งมากกว่าเหตุการณ์ของ dot-com ที่ดำดิ่งกว่า 78 เปอร์เซ็นจากจุดสูงสุดข้อมูลจาก Nasdaq Composite Index’s มูลค่ารวมของตลาด crypto ก็ยังลดลงต่ำกว่า 200 พันล้านดอลล่าห์หดตัวลงมากกว่า 3 เท่าจากสูงสุด หรือนี่จะหมายความว่า crypto จะถึงวาระฟองสบู่ และตามไปอย่างยุคของอินเตอร์เน็ตในช่วงแรกหรือไม่?
Bubbles and dot-coms
ในตัวอย่างง่ายๆ bubble จะเกิดเกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์มีการซื้อขายในราคาที่เกินกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ และมันสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกๆตลาด บางทีอาจเป็นเพราะมนุษย์ที่จะตื่นเต้นกับการเข้ามาทดแทนของเทคโนโลยีและเข้าไปมีส่วนร่วมในการเก็งกำไรของมัน เทคโนโลยีที่เราพูดถึงนี้ไม่จำเป็นเลยที่ต้องเป็นแบบดิจิตอล ‘railway mania’ ของอังกฤษกลางศตวรรษที่ 19 ก็เป็นตัวอย่างที่ดีของ bubble ที่ไม่ใช่แบบ ‘digital’ bubble หรือก็คือเป็นแบบ ‘analog’ bubble
ประมาณกลางปีถึงปลายปีที่ 1990 ได้เห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต และรู้สึกว่ามันจะเป็นสิ่งที่ ยิ่งใหญ่ ในอนาคต ผู้ประกอบการและนักลงทุนได้เข้าสู่แวดวงของอินเตอร์เน็ต และได้ประเมินมูลค่าของอินเตอร์เน็ตที่พึ่งได้เริ่มต้น ซึ่งได้เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาด Bull ในขณะนั้นการเพิ่มชื่อ .com เป็นบริษัทการเหมือนในขณะนี้ที่เพิ่ม blochchain เป็นหุ้น ดัชนีของ Nasdaq เป็นดัชนีที่ติดตามบริษัทางด้านเทคโนโลยีจำนวนมากที่ทำผลงานได้ดีในช่วงเวลาหนึ่ง ที่จุดสูงสุดในเดือนมีนาคมปี 2000 ดัชชีนี้มีมูลค่าถึง 6 ล้านล้านดอลล่าห์ ในไม่กี่ปีก่อน ประธานของ Fed Alan Greenspan ได้กล่าวว่า “การเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล” ที่นำไปสู่การ “เพิ่มมูลค่าของทรัพย์สินที่ไม่เหมาะสม” เมื่อ dotcom bandwagon กำลังเข้าสู่ทางลง คำว่า “การเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผล” ก็เข้ามาเกี่ยวกับการวิเคราะห์ทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ฟองสบู่แตก กับความคาดหวังที่สูงเกินไปกับตลาดที่ร้อนแรงรุนแรง หลายๆบริษัท dot-com ได้พิสูจน์มาแล้วว่ามันไม่สามารถขึ้นมาเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนได้ ภายในเวลาไม่ถึง 2 ปี มากกว่าครึ่งของบริษัททั้งหมดได้ล้มลง ในขณะเดียวกันเงินทุนของนักลงทุนได้หายออกไปมากกว่า ล้านล้านดอลล่าห์ เมื่อข่าวเรื่องการฟองสบู่แตกได้กระจายออกไปได้ขจัดผู้ที่ฉวยโอกาสกับมันออกไปจำนวนมาก ก็เลยเป็นหนทางสำหรับบริษัทที่จริงจังกับมันและมีวิสัยทัศน์อย่างแท้จริง อย่างทุกวันนี้ที่ยักษ์ใหญ่อย่าง Amazon และ Apple ที่เป็นตัวอย่างหลักๆ ผู้ร่วมก่อตั้ง Ethereum Joseph Lubin บอกว่าชื่อเสียงของเหตุการณ์เหล่านี้เป็นตัวทำลาย “ความคิดสร้างสรรค์” และหลายๆอย่าง เขาชี้ให้เห็นว่าตลาด crypto อาจจะเป็นไปตามเส้นทางเดียวกัน
Degrees of similarity
แท้จริงแล้ว the dot-com bubble และ the crypto bubble ก็ได้แสดงหลายๆสิ่งที่โดดเด่น อย่างพลังของการเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลทำให้ดูเป็นการเติบโตที่น่าตื่นเต้นภายใต้เทคโนโลยีของมัน ตามรายของ Morgan Stanley’s รูปแบบของกราฟ cryptocurrency เป็นรูปแบบเดียวกันกับดัชนี Nasdaq ในช่วงเปลี่ยนศตวรรษ ทั้งจำนวนตลาดหมี และ การรีบาวน์ รวมถึงช่วงต่ำสุดด้วย ซึ่งมีลักษณะที่คล้ายคลึงกันมากๆ และรวมถึงปริมาณการซื้อขายที่คงที่ หลายๆคนได้ใช้จุดที่คล้ายๆคลึงกันนี้มาเปรียบเทียบเทคนิคทางสถิติ มันจึงพอบอกได้ว่าการแตกของมันจะเกิดแน่ๆและแล้วมันก็เกิดขึ้นในเดือนมกราคม นั้นหมายความว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ตกต่ำคล้ายๆกับ dot-com แต่เราก็ไม่สามารถรู้ได้ชัดเจนว่ามันจะเป็นเหมือนกันทั้งหมด
สิ่งหนึ่งที่ต้องคำนึงถึงคือลักษณะที่สำคัญยังคงมีความแตกต่างกันไประหว่างสองสถานการณ์ สิ่งหนึ่งทีเห็นได้ชัดคือขนาดของตลาด ในขณะที่ดัชนี Nasdaq Composite มีมูลค่าถึง 6 ล้านล้านดอลลาร์ในวันที่มีจุดสูงสุด ในขณะที่ตลาด crypto จุดสูงสุดอยู่ที่ประมาณครึ่งล้านล้านดอลล่าห์ อย่างน้อยเราสามารถมั่นใจได้ว่าความเสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมจะน้อยลงกว่า 18 ปีที่ผ่านมา
ตามการวิเคราะห์แบบเดียวกันของ Morgan Stanley ในอุตสาหกรรม blockchain สิ่งที่เปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น 15 ครั้งนั้นเร็วกว่าช่วงของอินเตอร์เน็ตในแรกเริ่ม นี่คือความแตกต่างที่สำคัญระหว่างสองกรณีนี้ สิ่งหนึ่งที่ต้องขอบคุณคือ Twitter, Reddit, and Telegram ที่เป็นแหล่งกระจายข้อมูลของ crypto market นั้นเติบโตขึ้น ประเด็นก็คือที่แตกต่างกับ dot-com ที่ได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนสถานบัน แต่ตลาด crypto ซึ่งพึ่งพานักลงทุนรายย่อยหลายล้านรายทั่วโลก โดยรวม crypto bubble เกิดจากลุ่มคนที่หลากหลายกลุ่มที่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดเป็นอย่างมาก สิ่งเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดมากกว่าเทคนิคอื่นๆ นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่แตกต่างที่จะสามารถให้ผลที่แตกต่างออกไปกับ dot-com bubble ที่เกินจะคาดได้
จากการวิเคราะห์ของ Hacker Noon ในช่วงแรกของการลงของปี Noam Levenson ระบุว่า digital asset market ยังไม่ถึงจุดที่ได้รับการยอมรับและดัดแปลงเพื่อการนำไปใช้ให้เหมาะสม เหมือนว่าความผิดพลาดแบบของ dot-com bubble จะไม่เคยเกิดขึ้นเลย เมื่อ crypto เกิดการขึ้นลงอย่างรวดเร็วระหว่างตลาด หมี และ กระทิง จนกว่าจะได้รับการยอมรับนำไปใช้งานแลัผันผวนน้อยกว่านี้ ณ จุดนี้ เราจะผ่านการ crash หรือจะเป็นเหมือนตัวอย่างอื่นๆของวงเวียนตลาดหมีที่จะพาไปจุดสูงสุดใหม่ มันเป็นไปได้ยากที่จะยืนยันว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นแน่ เหตุการณ์ที่สามารถเทียบเคียงได้ก็คือ dot-com bubble แต่ก็ไม่เหมือนสถานะปัจจุบันของ crypto market
Does it even matter?
ท้ายที่สุดแล้ว digital asset จะเป็น bubble หรือไม่? ไม่มีการพูดถึงแม้แต่ใน crypto community เป็นที่ชัดเจนผลงานที่มีตัวตนในปัจจุบันที่ได้มีการลงทุนแบบ blockchain เกิดความล่าช้าในการติดตามผลได้ที่ coinmarketcap.com ซึ่งเป็นจุดที่ควรได้รับการแก้ไข คำถามที่ถูกต้องที่จะถามคือช่วงเวลาที่จะเกิด สิ่งที่จะกำหนดผลลัพธ์ของอุตสาหกรรมต้องมีลักษณะ คล้าย Amazon และ Google ของอุตสากรรม blochchain
ตามมุมมองที่รุนแรง เกือบทุกตลาดที่เป็นฟองสบู่ และความคืบหน้าของตลาดเป็นเพียงลำดับของ inflations และ pops ความเชื่อมั่นทั่วไปในกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องใน crypto ดูเหมือนว่าจะลดลงในบางช่วง และหลายๆโครงการทำงานได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็ต้องออกไป แม้กระทั่งความตื่นเต้นของตลาดหุ้นที่เกิดการเข้ามาแทนที่ของ technology อาจถูกมองว่าเป็นวิธีที่ไม่น่าจะประสบความสำเร็จมากกว่า “Nothing important has ever been built without irrational exuberance.”