Bitcoin เป็นเงินดิจิทัลสกุลแรกที่อยู่รอดได้โดยไม่โดนรัฐบาลถล่มเหมือนสกุลดิจิทัลที่เกิดก่อนหน้า ด้วยระบบ Decentralized Blockchain โดยเก็บข้อมูลไว้ในคอมของคนที่เปิดโหนดทั่วโลก ดังนั้นรัฐบาลจะเข้าไปปิดระบบของ Bitcoin และ Cryptocurrency ที่เป็น Decentralized ได้ยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่รัฐบาลทำได้คือ “กฎหมาย” เพียงคำกล่าวสั้นๆว่า มันผิดกฎหมายและห้ามนำเงินออก ก็สามารถยุติบทบาทในประเทศนั้นไปได้แล้ว ดังนั้นแล้วหากมองกลับกัน มันยากที่จะปิดระบบ แต่มันง่ายที่จะใช้กฎหมายจัดการ รัฐบาลไม่ได้มีอำนาจเพียงแค่กระบอกปืนหรือเรือดำน้ำเท่านั้น ยังมีกฎหมาย และเงินตราประเทศ เป็นเครื่องสนับสนุนในการบริหารประเทศ
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ข้อดีของ Bitcoin ในเชิงการเก็งกำไร
คือมันไม่ได้อิงกับอะไรเลย ถ้าเป็นหุ้นคุณต้องดูประสิทธิภาพการทำกำไรในปัจจุบันหรืออนาคต เพื่อที่จะลงทุนในสิ่งสิ่งนั้น มันคือการลงทุนใน Real Asset หรือสินทรัพย์ที่แท้จริงแบบนึง ผ่านคนกลางคือรัฐบาลที่คอยช่วยกำกับดูแล ให้เกิดการปั่นหุ้นหรือโกงงบการเงินน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถ้าลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหล่ะ ก็ต้องดูประสิทธิภาพในการชำระหนี้และความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจของประเทศ ในทฤษฎีแบบเก่าของ John Maynard Keynes จะมองความมั่นคงของพันธบัตรจากการเก็บภาษี ว่าสามารถเก็บภาษีได้พอจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรหรือไม่ แต่ปัจจุบันหลายประเทศก็ไม่ได้ใช้แบบ Keynes แล้ว Fed หรือธนาคารกลางของอเมริกาเลือกใช้หลัก Demand และ Supply ไปตั้งแต่ปี 1991 แล้วด้วยซ้ำ แต่ทุกวันนี้วงการเศรษฐศาสตร์ไทยก็ยังสอนอะไรบนจินตนาการอยู่ แท้จริงแล้วระบบของ Keynes ก็ดีในระดับนึงเลย แต่เวลารัฐเอามาใช้ มักจะเอามาใช้ไม่หมด หรือชอบเล่นนอกแผน ทำให้เกิดเป็นวิกฤตใหญ่น้อยตามยถากรรม บางทีก็เกิดภายใน ภายทีก็เกิดจากภายนอกโจมตีก็มี
แต่ถ้ามองความมั่นคงของพันธบัตรบน Modern Money Theory หรือทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่ อาจกล่าวได้ว่า มองจากประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจประเทศนั้นๆเป็นหลัก และมีการพิมพ์เงินในระดับที่รับได้เพื่อมาจ่ายดอกเบี้ยได้ เช่นการพิมพ์เงินเพื่อให่เกิดเงินเฟ้อที่ประมาณ 3% ถ้าเงินเฟ้อน้อยไปก็พิมพ์เงินเพิ่มได้
ขอเริ่มที่ Scarcity หรือความหายาก
ปัจจุบันกล่าวได้ว่า Bitcoin ได้เสียความหายากไปแล้ว เพราะมีสกุลเงินอื่นเข้ามาทดแทน Bitcoin ได้บางส่วน ทำให้เกิดการแบ่งสันปันส่วนของส่วนแบ่งในตลาดดิจิทัล โดยมีตัวชี้วัดคือ Bitcoin Dominance เป็นตัวบอกสัดส่วนของ Bitcoin / Marketcap ดังนั้นทุกคนไม่จำเป็นต้องซื้อ Bitcoin ความหายากได้หายไปแล้ว การที่บอกมีจำกัดเป็นเพียงการยอมรับจากคนกลุ่มนึงเท่านั้น และการจำกัดนั้นเกิดจากผู้สร้างไม่ได้เกิดโดยธรรมชาติหรืออิงกับอะไร อีกทั้งถ้าคนชอบใจในระบบของ Bitcoin ก็ไปก็อปปี้ตัว Source Code แล้ว Launch เพื่อสร้างบล็อกเชนที่มีสรรพคุณเหมือน Bitcoin ได้ทุกประการ กล่าวคือ ไม่ใช่ Bitcoin ที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้ มันคือความเชื่อของคนที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ได้
ในทุกระบบการเงินเริ่มด้วย Scarcity ก็จริง แต่สุดท้ายแล้วมันไม่ได้สำคัญ เพราะระบบปัจจุบันความหายากเป็นเพียงเรื่องรอง แต่ความเชื่อมั่นต่างหากคือเรื่องหลัก หน้าที่ของสื่อกลางคือความเชื่อมั่น มีเพียงเท่านั้น ที่มาของความเชื่อมั่นมีทั้งจากบุคคล กลุ่มคน สภาพเศรษฐกิจ รัฐบาล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ USD หรือเงินดอลลาร์ของสหรัฐที่สูญเสีย Scarcity ไปแล้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งความเชื่อมั่น และมีอำนาจที่คอยควบคุมมัน ปัจจุบัน Bitcoin เหลือเพียงความเชื่อมั่น และเราก็ไม่รู้ว่าวันไหน Bitcoin จะเสียความเชื่อมั่นไป
บทเรียนจากภาพวาด Van Gogh
ภาพวาดแวนโก๊ะเป็นเงินที่จับต้องได้ ตั้งนั้น เมื่อเวลาผ่านไป มันจึงมีมูลค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะหาคนที่วาดภาพแบบนั้นได้ยาก และเป็นวัตถุที่ทรงคุณค่าในประวัติศาสตร์ช่วงนั้น เราจะเห็นของเก่าเหล่านี้มีคุณค่าเมื่อกาลเวลาเปลี่ยนผัน นั่นแหละคือโลกของ Physical โลกที่เราสามารถตีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ได้ กลับกัน โลกของ Digital สิ่งที่ทรงคุณค่าในโลกดิจิทัล คือของที่ใหม่ขึ้น เช่นระบบปฎิบัติการ หรือ Operation System (OS) ทำไมวันนี้เราไม่ใช่ Window98 หรือ WindowMe เรายอมจ่ายเงินซื้อ Window 10 เพราะในโลกของดิจิทัลสิ่งที่ทรงคุณค่าคือสิ่งที่ใหม่ขึ้น Bitcoin เป็นเหมือนภาพวาดของแวนโก๊ะที่แบ่งเป็น 21ล้านส่วน เมื่อมองแบบดิจิทัล คุณค่าตามความเก่าของมันได้หายไปแล้ว วันนี้ผมซื้อ Bitcoin เพื่อนผมก็ซื้อ Bitcoin เหมือนกัน เราทุกคนต่างมีในครอบครอง
ไม่เหมือนภาพแวนโก๊ะที่มีชิ้นเดียว ทำให้คนที่ไม่มีและชื่นชอบให้ราคามันได้ แต่ Bitcoin เราทุกคนที่ชื่นชอบ สามารถซื้อมันได้ด้วยเงินเพียงไม่กี่บาทเท่านั้น มันไม่ใช่ของที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ แต่คือสินค้าที่เก็งกำไรอย่างมหาศาลแบบนึงเท่านั้น
วันนี้ความเชื่อของผู้คนที่มีต่อ Bitcoin ยังมีอยู่มาก ส่วนนึงเกิดจาก การที่กฎหมายยังไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างเต็มที่ แต่วันใดที่กฎหมายเข้ามายุ่งเกี่ยวอย่างเต็มที่ ในทางบวกอาจจะผลักดันมันไปมหาศาล แต่ในประวัติศาสตร์ ไม่มีประชาชาติใดเชื่อมั่นในความว่างเปล่า ในทางลบอาจจะเลวร้ายคนกระทั่งถอนเงินที่ประเทศนั้นไม่ได้เลย เราคงทำได้เพียงรอดูว่าปราการด่านสุดท้ายที่เชื่อว่า ความเชื่อ จะมันคงเพียงใด