การโอนเงินเมื่อก่อนใช้ Western Union ซึ่งมีค่าธรรมเนียมระดับนึง และแฝงมาด้วย เวลาในการโอนที่ต้องรอในระดับนึงอาจจะสองวันหรือสามวัน แล้วแต่การใช้บริการของแต่ละสถาบัน (ex. T+2) หลังจากนั้น Visa ได้เข้ามามีบทบาท โดยมีค่าธรรมเนียมถูกลงหรือแพงกว่า แล้วแต่เงื่อนไขของบริการ ข้อดีคือได้เงินเร็วขึ้น แต่อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของจำนวน ถ้าโอนมาก ก็อาจต้องกลับไปใช้ Western Union แบบเดิม
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!อีกเรื่องนึงคือ ระบบการโอนเงินกลางอย่าง Swift เป็นระบบในอุ้งมือของสหรัฐอเมริกา ดังนั้นหากไม่พอใจประเทศไหน ผู้นำโลกคนนี้ก็พร้อมคว่ำบาตรประเทศอื่นทันที และการโอนเงินผ่านระบบ Swift ก็เป็นหนึ่งในนั้น แล้ววันนึง Bitcoin ก็เข้ามาแก้โจทย์ปัญหาตรงนี้ การโอนเงินวันนี้จะพบว่า Bitcoin สามารถโอนข้ามพรมแดนได้เลย และผู้รับสามารถรับได้ทันที นี่เป็นจุดเด่นที่เหล่ากูรูจากทั่วโลก ยก Bitcoin ขึ้นมาเชิดหน้าชูตา ว่าเป็นยุคการเงินใหม่ ที่เราไม่ต้องพึ่งธนาคาร
ผมเห็นด้วยนะ ว่าเราอาจพึ่งพาธนาคารน้อยลงในเรื่องของการส่งเงิน เพราะเรามีบริษัทที่ทำ ePayment ผุดขึ้นมาเยอะมาก มากจนเราต้องถามว่า มันมากเกินไปหรือเปล่า ธนาคารไม่ได้ตาย แต่บทบาทของธนาคารกำลังจะเปลี่ยนไป Bankหรือธนาคารที่เป็นตัวสาขา อาจลดลง แต่ Banking หรือระบบธนาคารดิจิทัล ที่เป็นแอพพลิเคชั่นกำลังเพิ่มขึ้นอย่างมาก และทำให้การบริหารของธนาคารง่ายขึ้นด้วยซ้ำ เพราะปัญหาที่บริหารยากที่สุดในธุรกิจคือบริหารคน
ดังนั้น ธนาคารไม่ได้ตาย และอาจกำไรเพิ่มขึ้นด้วย เพราะไม่ต้องจ่ายค่าคนงานจำนวนมหาศาล ไม่จำเป็นต้องค่าเช่าสำนักงานจำนวนมาก เหลือเพียงไม่กี่สาขาเท่านั้น และตัวสาขาก็ลดคนได้ จากการนำเครื่องจักรเข้ามาแทนที่ และลดคนงานเหลือเพียงสัดส่วนนึงเท่านั้น
ส่วนต่างของธนาคารเอาไปทำอะไรได้บ้าง (ส่วนต่างจากค่าใช้จ่ายเช่าที่สำนักงาน และคนงานที่ปลดออกไปจากการปิดสาขา)
เอาไปเพิ่มดอกเบี้ยให้คนฝาก ? แน่นอนว่าต้องเพิ่ม แต่เงินส่วนนี้ธนาคารจะเอาไปปล่อยกู้เพิ่มขึ้น แล้วค่อยนำดอกเบี้ยส่วนนึงมาให้คนฝาก เป็นการกินส่วนต่างอีกทีนึง แล้วเพิ่มความน่าดึงดูดของธนาคารได้ จากการเพิ่มสิทธิประโยชน์ต่างๆจากการใช้แอพพลิเคชั่นของธนาคาร เพื่อให้คนยังสนใจในแอพพลิเคชั่นของธนาคารต่อไป
แม้ Bitcoin จะเข้ามาแก้โจทย์เรื่องการโอนเงินข้ามพรมแดนให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุด เพราะล่าสุดธนาคารกลางหลายประเทศพร้อมออกเงินดิจิทัลบนระดับ Blockchain หรือ Distributed Ledger ของตัวเองทั้งสิ้น ซึ่งนั่นแปลว่า การโอนเงินของเงินสกุลท้องถิ่นอย่างเงินบาท หรือดอลลาร์ ในอนาคตจะเป็นดิจิทัลเหล่านี้ จะโอนจากกระเป๋านึงสู่กระเป๋านึงได้เลย ไม่มีเรื่องพรมแดนเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ดังนั้น ความสำคัญในฐานะสื่อกลางการโอนเงินของ Bitcoin จะหายไปในอนาคต
แล้วอะไรคือความเสี่ยงของ Bitcoin ถ้าโอนไปต่างประเทศ หรือโอนกลับมาไทย
บทความก่อนหน้าผมได้กล่าวไปว่า Bitcoin ถูกคำนวณเป็นดอลลาร์ ดังนั้น หายอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างค่าเงินท้องถิ่น เช่น บาทต่อดอลลาร์เป็นเท่าไหร่ ถ้าระหว่างโอนอัตราแลกเปลี่ยนลดก็หายไปส่วนนึง แต่ตรงนี้มีธนาคารกลางของแต่ละประเทศเคยดูแลไม่ให้อัตราแลกเปลี่ยนผันผวนจนมากเกินไปอยู่แล้ว ยกเว้นเกิดวิกฤต
ที่น่ากังวลคือ Bitcoin/US Dollar เพราะราคาของ Bitcoin นั้น แม้จะมากมาย แต่ก็มี การเหวี่ยงที่สูงมากเช่นกัน ถ้าระหว่างโอนไป (ซึ่ง Bitcoin ใช้เวลาโอนต่อบล็อก10นาที) ราคามีการเปลี่ยนแปลง ลดลงมา10% ถือว่าเสียหายหนักมาก แล้วถ้าไม่อยากให้เสียหายตรงนี้ทำอย่างไร ก็ต้องทำการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนไว้ แล้วมีสถาบันไหนจะช่วยตรึงอัตราแลกเปลี่ยนตรงนี้หล่ะ ปัจจุบันยังไม่มีสถาบันไหนช่วยตรึงอัตราแลกเปลี่ยนการโอน Bitcoin เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโอน ดังนั้นทุกการโอน Bitcoin มีความเสี่ยงในเรื่องของมูลค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลท้องถิ่นทั้งสิ้น
