fbpx

การลงทุนที่ขัดแย้งของเหรียญทางเลือก Paradox Investment of Alternative Coin

ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หรือมันอาจไม่เกิดขึ้นอีกก็ได้
แท้จริงแล้วคุณกำลังลงทุน(ดอย)กับอะไรกันแน่

การลงทุนที่ขัดแย้งของเหรียญทางเลือก Paradox Investment of Alternative Coin

16 Sep 2019

เหรียญทางเลือกหมายถึงเหรียญทุกสกุลนอกจาก Bitcoin โดยเหรียญที่มีกระแสความนิยมค่อนข้างดี อย่างเช่น Ethereum(ETH), Litecoin(LTC), BitcoinCash(BCH), Ripple(XRP) ซึ่งเหรียญเหล่านี้เป็นที่นิยมกว่า Bitcoin ในช่วงเวลานึง 2017-2018 (คิดจาก Bitcoin Dominance ในช่วงนั้น ซึ่ง Bitcoin น้อยกว่า 50%) ในช่วงปีดังกล่าวมีการเก็งกำไรขึ้นบนเหรียญทางเลือก ซึ่งสาเหตุก็มาจากการปั่นราคา จากการขายฝันของการระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) ซึ่งไม่ได้สร้างมูลค่าระยะยาว เป็นการเก็งกำไรทั้งหมด (Fully Speculation) ผู้ลงทุน “ส่วนมาก” จะอยู่ในฝั่งนักลงทุนเก็งกำไร (Speculative Investor) ซึ่งผู้ลงทุน Bitcoin “ส่วนมาก” ก็อยู่กลุ่มนี้เช่นกัน และผู้ออกเหรียญ “ส่วนมาก” จะอยู่ในฝั่ง (Exit Scam Seller) มีน้อยรายที่จะสานต่อความฝันที่ได้ขายไว้ให้แก่นักลงทุน แม้จะยังมีบางส่วนทำโปรเจคต่อ แต่ที่เรายังแทบไม่ได้เห็นเลย คือเศรษฐกิจ (the economy) เพราะสังคมแห่งการผลิต กระจายและเปลี่ยนผ่านตั้งอยู่บนสิ่งนี้

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

กรณี ETH และความต้องการที่เพิ่มขึ้น (Demand Surge)

ETH เป็นเหรียญที่หลายคนนำไปสร้างเหรียญเพื่อระดมทุน เพราะสร้างง่าย และได้รับความนิยม หากอนาคตจะสร้างโปรดักร่วมกับเจ้าอื่นบน Ethereum ก็ทำได้ง่ายเช่นกัน ดังนั้นผู้ต้องการระดมทุนจำนวนมากจึงเห็นพ้องที่จะสร้างเหรียญบน Ethereum และเมื่อระดมทุนบน Ethereum ที่มี Smart Contract อันเป็นเอกลักษณ์ ผู้สร้างเหรียญจึงเสก(เขียนโค้ด) Smart Contract ขึ้นมา 

ขั้นตอนในช่วงนั้นส่วนมากเป็นดังนี้

  1. ให้คนที่ประสงค์จะลงทุนมาแจ้งความจำนง หรือมากรอกชื่อจองเหรียญหน่ะแหละ ตรงนี้เราใช้ศัพท์ว่า Whitelist หรือบัญชีขาว ซึ่งหมายถึงกลุ่มคนที่อยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดและมีความประพฤติตรงตามเงื่อนไข
  2. จากนั้นเจ้าของโปรเจคและทีมงานก็มาชุมนุมเสก(เขียนโค้ด) Smart Contract ขึ้นมา โดยใส่นวัตกรรมลงไปนิดหน่อย ให้ผู้ลงทุนไปเช็คเลขกระเป๋าของตนว่าได้รับสิทธิ์ลงทุนหรือไม่ ซึ่งแน่นอนว่ามีนักลงทุนบางกลุ่มที่รู้สึกดีเมื่อได้ใช้ Smart Contract ตั้งแต่การลงทะเบียนก่อนการระดมทุน นับเป็นประสบการณ์การลงทุนแบบใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน
  3. ช่วงลงทุน เนื่องด้วยตอนนั้นยังไม่มี Stable Coin ทำให้การระดมทุนส่วนมากที่เป็น Smart Contract ต้องอาศัยเหรียญที่อยู่บน Chain เดียวกัน ซึ่งตอนนั้นนิยมสุดคือ Ethereum Blockchain บวกกับเหรียญที่ได้ไปจากนักลงทุนผ่านการขอระดมทุนมีมูลค่าเยอะมาก ส่วนมากมีขนาดหลายล้านดอลลาร์ไปจนถึงหลายร้อยล้านดอลลาร์แหละ ปัญหาต่อมาคือ สถาพคล่อง (Liquidity) ได้เหรียญแล้วก็ต้องเทขายเพราะเราขอระดมเงินตามวงเงิน เพียงแค่ใช้บางเหรียญเป็นตัวกลางในการโอนมูลค่าเท่านั้นเอง

    สุดท้ายแล้วหวยก็มาออกที่ ETH เพราะมีสภาพคล่องในการซื้อขายเยอะที่สุดในช่วงเวลานั้น  บวกกับอยู่บน Ethereum Network ในฐานะ Ether (ETH) ทำให้การระดมทุนในช่วงเวลานั้นนิยมรับ Ethereum
  4. ช่วงความต้องการเพิ่มขึ้น เนื่องจากโปรเจคกลุ่มแรกนั้น ทำผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างดี ทำให้นักลงทุนเกิดการบอกต่อ ส่งผลให้คนรอบข้างเข้ามาลงทุนเพิ่มอีกจำนวนมาก และเมื่อกำไรอีกก็บอกต่ออีก ส่งผลให้ Ether (ETH) เกิดสภาวะ Demand Surge ทุกคนซื้อ Ether (ETH) เพื่อกักตุนไว้ลงทุน ICO กันทั้งสิ้น ซึ่งสภาพก็ไม่ต่างจาก Binance (BNB) ในช่วงปี 2019 สักเท่าไหร่

 

แล้วอะไรคือบทสรุป

ETH ที่ผ่านช่วงการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ทำให้เติบโตจนราคานับพันเหรียญ วันนี้เหลือหลักร้อยเหรียญ เพราะทุกคนไม่ได้ต้องการ Ether (ETH) จำนวนมาก แต่ใช้มันเป็นสื่อกลางในการระดมทุนเพียงเท่านั้น เหตุผลอีกข้อคือกลุ่มนักพัฒนาซึ่งต้องการพัฒนาผลิตภัณฑ์ลงบน Ethereum Network เครือข่ายหลัก (Main Network) ซึ่งก็ไม่ได้ต้องการ Ether (ETH) จำนวนมากอีกเช่นกัน ETH อาจจะกลับมาราคามากขึ้นได้ ด้วยหลายเหตุผลเช่น 1. Ethereum 2.0 ที่จำกัดจำนวนเหรียญ และเปลี่ยนเป็น PoS ที่ใครถือเหรียญมากแล้วได้รับสิทธิ์ในการยืนยันบล็อก รวมทั้งได้ปันผล อาจเกิด Pool Ethereum ขึ้นมาเพื่อรวมตัวกันยืนยันบล็อก และรับรางวัลจากค่าธรรมเนียม ทำให้เกิดการกักตุน ผลลัพธ์คือความต้องการ (Demand Surge) ผลักดันราคา 2.เกิดระบบเศรษฐกิจที่ใช้ Ether (ETH) จำนวนมากขึ้น อันนี้ไม่ขอลงรายละเอียดเป็นการบ้านให้คิดต่อกันเองละกัน

แม้ภาพเก่ายังคงติดตานักลงทุนอยู่ แต่แท้จริงแล้ว หากคุณกำลังลงทุนใน Ethereum เพราะต้องการเก็งกำไร ลืมมันไปได้เลย จนกว่า Ethereum 2.0 จะมา Ether (ETH) ทุกวันนี้ยังยากที่จะสร้าง Demand Surge

Ether (ETH) เป็นเพียงหนึ่งบทเรียนเท่านั้น แท้จริงเหรียญในกลุ่ม Blockchain Infrastructure ที่สามารถสร้าง Ecosystem ขึ้นมาได้นั้น ไม่ได้แปลว่าราคาของ Ether จะต้องเพิ่มขึ้นตาม ไม่ได้แปลว่าจะต้องใช้ Ether เป็นตัวกลางในการส่งเงินเหมือนที่เคยเป็นสมัย ICO เคสตัวอย่างที่คล้ายกันคือ Omni Chain ที่มี USDT ส่วนนึงอยู่บนนั้น แต่ระบบมีค่าส่งที่แสนแพง และมีการดำเนินธุรกรรมไม่ได้ดีเท่า Ethereum และคนส่วนมากมไม่มีกระเป๋าส่วนตัว ซึ่งแตกต่างจาก USDT บน Ethereum Network ที่สร้างความสะดวกและคล่องตัวให้กับนักลงทุนได้มากกว่า และจะเห็นว่า ราคาของ Omni ก็ไม่ค่อยจะดีนัก อีกทั้งปริมาณการซื้อขายเหรียญ Omni ราว 930ดอลลาร์ต่อวันเท่านั้น

หากท่านเป็นนักลงทุนเก็งกำไร การลงทุนในเหรียญทางเลือกบางชนิดอาจไม่ได้กำลังสร้างฐานของราคาที่มากขึ้น หรือโครงสร้างอาจทำให้เหรียญมีราคาสูงขึ้นในอนาคตได้ยาก ดังนั้นความเสี่ยงในการเดิมพันจะสูงมาก สินทรัพย์ของท่าน กำไรก็ของท่าน มีความสุขกับการลงทุน ขอบคุณครับ

Altcoin Article Ethereum Guide & Analytics
,
Writer

Maybe You Like

Recent Post