fbpx

อะไรทำให้ Bitcoin มีมูลค่า เมื่อทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่อยู่มากว่า 100 ปีสามารถนำมาอธิบายมูลค่าของ Bitcoin ได้

[แปลโดย Trakarn Buris ] เมื่อทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่อยู่มากว่า 100 ปีสามารถนำมาอธิบายมูลค่าของ Bitcoin ได้

อะไรทำให้ Bitcoin มีมูลค่า เมื่อทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่อยู่มากว่า 100 ปีสามารถนำมาอธิบายมูลค่าของ Bitcoin ได้

18 Nov 2018
ยาวไปอยากเลือกอ่าน แสดง

เมื่อทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ที่อยู่มากว่า 100 ปีสามารถนำมาอธิบายมูลค่าของ Bitcoin ได้

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

อันนี้เป็นบทความแรกๆที่ผมไล่อ่านแล้วรู้สึกมั่นใจในตัวระบบขึ้น ยาวนิดนึงแปลจนเหนื่อย55 แต่นอกจากจะตอบคำถามที่คนส่วนใหญ่สงสัยแล้ว ถึงเริ่มจาก 0 อ่านจบ ก็น่าจะเข้าใจการทำงานของ Bitcoin ขึ้นมาได้ในระดับนึงเลย

บทความนี้เอา ทฤษฏีของ Ludwig von Mises นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรียที่ได้เขียนถึง ทฤษฏี การกำเนิดของเงินไว้เมื่อปี 1912 มาอธิบายจุดกำเนิด และที่มาของมูลค่าของ Bitcoin

—————————————————

อะไรทำให้ Bitcoin มีมูลค่า
สำหรับคนที่คิดว่าทฤษฏีของ Mises ขัดกับ Bitcoin อยากให้ลองคิดดูอีกครั้ง

เขียนโดย
Jeffrey A. Tucker – fee.org Foundation for Economic Education
August 27, 2014

คนจำนวนมากที่ไม่เคยใช้ Bitcoin พากันสงสัยว่าทำไม ค่าเงินมายากลในอินเตอร์เน็ทนี้ถึงมีค่าขึ้นมาได้ทั้งๆที่มันเป็นแค่สิ่งที่ใครก็ไม่รู้ใช้คอมพิวเตอร์สร้างขึ้นมาลอยๆ

Goldbugs หรือกลุ่มคนที่สนับสนุนทองคำ พยายามผลักดันแนวคิดมาหลายสิบปีว่า เงินจะน่าเชื่อถือต่อเมื่อถูกรองรับด้วยสิ่งที่จริง จับต้องได้และมีค่าในตัวมันเอง

Bitcoin ไม่เข้าข่ายเลยงั้น?

หรือว่าจริงๆแล้วมันอาจจะเข้าข่ายก็ได้ถ้าเรามองลงไปลึกๆ

 

Bitcoin เกิดขึ้นในเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 6 ปีที่แล้ว (บทความนี้เขียนเมื่อปี 2014) ในฐานะสิ่งที่อาจจะมาเป็นคู่แข่งของเงินที่ออกและควบคุมโดยรัฐบาล White paper ของ Satoshi Nakomoto ถูกเผยแพร่เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม ปี 2008 โครงร่างของwhite paperรวมไปถึงภาษาที่ใช้เห็นได้อย่างนึงว่า กลุ่มเป้าหมายคือสำหรับผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์ ไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ หรือนักรัฐศาสตร์ White paperฉบับนี้ถูกส่งต่อในวงแคบๆ คนที่ไม่ได้มีความรู้เฉพาะทางอ่านแล้วก็เต็มไปด้วยความสับสน

 

แต่ถึงแม้จะไม่ค่อยมีใครสนใจในตอนแรก ประวัติศาสตร์ก็ถูกสร้างขึ้นแล้ว สองเดือนหลังจากwhite paperออกมา คนที่สนใจพอก็ได้เห็นการกำเนิดของ “Genesis Block” หรือ Bitcoin block แรกที่ถูกสร้างขึ้นบนคอนเซป Distributed Ledger บัญชีที่กระจายไปอยู่ทุกที่ ซึ่ง Distributed Ledger นี้จะถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ที่ไหนก็ตามในโลกที่มีคนต้องการจะเก็บมันไว้

 

6 ปีผ่านไปจากวันนั้น bitcoin 1 เหรียญมีราคาถึง $500 และเคยขึ้นไปสูงสุดถึง $1,200 สถานที่หลายพันแห่งทั้ง online และ offline รับ bitcoin เป็นทางเลือกของการจ่ายเงิน ระบบการจ่ายเงิน Bitcoin ถูกใช้งานในประเทศกำลังพัฒนาที่ไม่มีระบบธนาคารที่แข็งแกร่ง แม้แต่ประเทศพัฒนาแล้วก็เริ่มมีการใช้งานในระดับนึง สถาบันระดับโลกไม่ว่าจะเป็น ธนาคารกลางสหรัฐ องค์การเพื่อความร่วมมือและการพัฒนาทางเศรษฐกิจ (OECD) ธนาคารโลก (World Bank) รวมไปถึงบริษัททางการเงินขนาดใหญ่ต่างให้ความสนใจ

 

[ ตรงนี้คนแปลขอเสริมไว้นิดนึงฮะ สำหรับคนที่ไม่ได้ติดตามใกล้ชิด อ่านย่อหน้าก่อนหน้าอาจจะรู้สึกไม่เห็นด้วย เพราะข่าวพวกนี้สื่อกระแสหลักไม่ได้พูดถึงกันซักเท่าไหร่ เฉพาะในปีนี้ สภาสูงของรัฐ Arizona พึ่งออกกฏหมายให้สามารถจ่ายภาษีเป็น Bitcoinได้ ศาลของรัฐ California ก็มีการอนุญาตให้จ่ายเงินประกันตัวเป็น Bitcoinได้ด้วย / ในขณะเดียวกัน สมาชิก EU 21 ประเทศรวมกลุ่มจัดตั้ง European Blockchain Partnership และจัดสรรเงินเริ่มทุน 2 พันล้านบาท และจะเพิ่มอีก 1หมื่นล้านบาทในช่วง 2ปีข้างหน้าเพื่อสนับสนุนเทคโนโลยีนี้ ในขณะที่ Christine Lagarde ประธาน IMF ก็พูดไว้ว่า มันอาจจะไม่ใช่เรื่องฉลาดที่จะมองข้าม Cryptocurrency / ในฝั่งเอกชนเฉพาะในไทยเอง ธนาคารไทยพานิชย์ได้เข้าไปลงทุนใน Ripple ในขณะที่ ธนาคารกรุงศรีลงทุนใน Omise ]

 

ผู้ที่เชื่อใน Bitcoin ซึ่งมีอยู่ทั่วโลกพูดว่ามูลค่าของ Bitcoin จะสูงขึ้นไปอีกในอนาคต ระบบของ Bitcoinได้เปรียบระบบการเงินแบบเดิมในหลายๆด้าน Bitcoinสามารถส่งจากคนนึงไปยังอีกคนนึงได้โดยไม่ผ่านตัวกลาง ค่าธรรมเนียมราคาถูก มีการเพิ่มของsupplyที่ชัดเจน ที่สำคัญ Bitcoin มีคุณลักษณะคือคงทนไม่เสื่อมสภาพ แต่ละเหรียญมีค่าเท่ากันแลกเปลี่ยนได้ง่าย สามารถแบ่งจ่ายเป็นหน่วยย่อยได้ ซึ่งทั้งหมดเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของการเป็นเงินแลกเปลี่ยน ผลที่ตามมาคือมันสร้างระบบการเงินที่ไม่ต้องพึ่งระบบการยืนยันตัวตน หรือฝากความเชื่อใจไว้ในมือคนอื่น ที่สำคัญคือไม่ต้องพึ่งรัฐบาลหรือธนาคารอีกต่อไป ซึ่งสามารถมองได้ว่าเป็นเงินสำหรับยุคดิจิตอล

 

Hard lessons for hard money

 

สำหรับคนที่เรียนมาตามหลักสูตรดั้งเดิม จะยึดติดกับ Hard Money หรือค่าเงินที่จับต้องได้จริงเช่นเงินเหรียญ หรือทองคำแท่ง ระบบของ Bitcoin ดูจะฝืนความรู้สึกเป็นอย่างมาก ตัวผมเองใช้เวลาประมาณ 2 ปีในการอ่านเกี่ยวกับ Bitcoin กว่าจะพอมีความเข้าใจในภาพรวมของระบบ ไอเดียโดยรวมมันดูเป็นไปได้ยากมากคือเราไม่ควรที่จะสามารถสร้างเงินจากสิ่งว่างเปล่าขึ้นมาได้ แถมดันสร้างขึ้นมาจากโค้ดคอมพิวเตอร์อีกยิ่งฟังดูไม่น่าเชื่อถือเข้าไปใหญ่ งั้นทำไมมันถึงมีมูลค่าขึ้นมาได้ คิดแล้วก็ทำให้รู้สึกว่าเราน่าจะพลาดอะไรไปซักอย่าง เงินไม่ควรจะถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีนี้

 

ปัญหาทั้งหมดนี้เริ่มต้นจาก “ความคาดหวังของตัวเราเอง” เราควรจะตั้งใจอ่านสิ่งที่ Ludwig von Mises เขียนถึงทฤษฏีการกำเนิดของเงิน “Theory of Money’s Origin” และทำความเข้าใจกับสิ่งที่ “เขียนจริงๆ” ไม่ใช่สิ่งที่เราคิดไปเองว่าเค้าเขียน

 

ปี 1912 Mises เขียน The Theory of Money and Credit ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากในยุโรปเมื่อถูกตีพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันและถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษในเวลาต่อมา Mises เขียนครอบคลุมทุกด้านของเงินในหนังสือเล่มนี้ แต่สิ่งที่ทำให้หนังสือเล่มนี้มีความสำคัญอย่างมากคือการที่ Mises แกะรอย “มูลค่า” และ “ราคา” ของเงิน กลับไปถึงจุดเริ่มต้นที่มาของเงิน ก่อนที่เราจะเรียกมันว่าเงินด้วยซ้ำ สิ่งที่เค้าทำคือการอธิบายว่าทำไมเงินถึงมีมูลค่าขึ้นมาได้ ทำไมมันถึงถูกยอมรับและสามารถเอาไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าหรือบริการได้ Mises เรียกกระบวนการนี้ว่า “regression theorem” ซึ่งถ้าอ่านตามที่ Mises เขียนจะพบว่า Bitcoin ตรงตามทฤษฏีนี้ทุกข้อ

 

อาจารย์ของ Mises หรือ Carl Menger เป็นผู้ที่อธิบายถึงจุดกำเนิดของเงินว่าไม่ได้เกิดจากรัฐบาล หรือการยอมรับของสังคม แต่เกิดขึ้นจากตลาดผ่านการค้า เงินตราถือกำเนิดขึ้นมาจากการที่พ่อค้าต้องการหาสินค้าในอุดมคติเพื่อเป็นตัวกลางในแลกเปลี่ยน แทนที่จะต้องมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันไปมาโดยตรง (barter) ผู้คนเลือกที่จะแลกเปลี่ยนสินค้าที่เหมาะสมกับการแลกเปลี่ยนในภายหลังมากกว่าสินค้าที่จำเป็นต้องใช้ในเวลานั้น เมื่อเวลาผ่านไปสินค้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็มีสถานะเป็นเงินขึ้นมา

Mises พูดว่าสินค้าจะกลายเป็นเงินขึ้นมาได้ ต้องมีค่าสามารถใช้งานได้ด้วยตัวมันเองก่อน

 

“ทฤษฏีมูลค่าของเงินนั้นมองย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของความต้องการในการแลกเปลี่ยนสินค้า ที่จุดเริ่มต้นนั้นมูลค่าของมันมีอยู่อย่างเดียวคือมูลค่าในตัวของมันเอง เวลาที่เรามองย้อนกลับไปไกลออกไปเรื่อยๆจนถึงจุดเริ่มต้นเราจะพบว่าสินค้าชิ้นนั้นไม่ได้มีมูลค่าในฐานะตัวเงินเลย ตัวสินค้าชิ้นนั้นมีค่าอย่างเดียวคือค่าของตัวมันเองว่าสามารถใช้ทำอะไรได้ ก่อนที่เงินนั้นจะถูกนำไปซื้่อสินค้าในตลาด โดยที่ไม่ได้ซื้อเพื่อการกินใช้ในทันทีแต่ใช้เพื่อเก็บมูลค่านั้นไว้ซื้อสิ่งอื่นต่อในอนาคต สินค้าชิ้นนั้นจะมีค่าเท่ากับคุณค่าในการใช้งานของตัวมันเองโดยตรงเท่านั้น”

 

คำอธิบายของ Mises ได้แก้โจทย์ที่นักเศรษฐศาสตร์ข้องใจมาเป็นเวลานาน ถึงมันเป็นการอธิบายโดยการคาดคะเนจากประวัติศาสตร์แต่มันก็ฟังดูถูกต้องสมบูรณ์แบบ เกลือจะเป็นเงินได้มั๊ยถ้ามันเป็นไม่สามารถใช้ทำอะไรได้ หนังบีเวอร์จะมีค่าในฐานะเงินได้มั๊ยถ้ามันไม่สามารถเอามาทำเป็นเสื้อผ้าได้ แร่เงินหรือทองคำจะเป็นเงินได้ยังไงถ้ามันไม่มีค่าในตัวเองในฐานะสินค้าชิ้นนึงมาก่อน คำถามพวกนี้เมื่อตอบจากมุมประวัติศาสตร์การเงินคือ “ไม่ได้” ค่าของเงินก่อนที่สินค้าชิ้นนั้นจะกลายเป็นเงินเริ่มต้นจากคุณค่าของตัวมันเองในการใช้งานจริงเท่านั้น นี่คือคำอธิบายที่ถูกแสดงให้เห็นผ่านประวัติศาสตร์ด้วย Regression Theorem ของ Mises

 

Bitcoin’s use value

 

เมื่อดูผ่านๆ Bitcoin เหมือนจะเป็นข้อยกเว้น Bitcoinไม่สามารถใช้งานอะไรได้เลยนอกจากเป็นเงินเท่านั้น ไม่ใช่เพชรพลอย ไม่สามารถเอามาผลิตเป็นอะไรได้ กินก็ไม่ได้หรือแม้แต่เอามาประดับตกแต่งก็ยังไม่ได้ มูลค่าของมันเกิดจากแค่การเป็นหน่วยนึงในการแลกเปลี่ยนทางอ้อมเท่านั้น แต่ถึงอย่างงั้น Bitcoin ก็ยังเป็นเงิน มันถูกใช้งานทุกวัน มีการเปลี่ยนมืออยู่ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าปลอมๆ แต่ทุกคนสามารถเช็คดูได้ด้วยตัวเองผ่าน Block Explorer ทั้งหมดนี้ทำให้เราต้องคิดว่า หรือว่า Mises จะคิดผิด หรือเราควรจะทิ้งทฤษฏีทั้งหมดไป หรือว่าทฤษฏีของMisesถูกต้องสำหรับในอดีต แต่ในโลกยุคดิจิตอลไม่สามารถใช้ได้อีกแล้ว หรือจริงๆแล้วทฤษฏีRegressionเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ว่า Bitcoin ไม่ได้มีค่าอะไรเลย เป็นแค่ความบ้าคลังอันว่างเปล่าชั่วคราว เพราะสุดท้ายแล้ว Bitcoin ไม่มีประโยชน์อะไรเลยในตัวมันเอง

 

แต่จริงๆแล้วไม่ต้องพึ่งทฤษฏีทางการเงินอะไรทั้งนั้นก็สามารถเข้าใจได้ว่าทำไม Bitcoin ถึงเป็นสิ่งที่น่ากังวล คนจำนวนมากรวมถึงตัวผมเองมีความรู้สึกไม่สบายใจกับเงินที่ไม่สามารถจับต้องได้นี้ ถึงแม้ว่าคุณจะสามารถพิมพ์public keyหรือQR Codeลงในกระดาษคุณก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี ทำยังถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ เรื่องนี้ติดอยู่ในใจผมเป็นปีๆ ผมสงสัยกับมันมาก ผมคิดว่าทฤษฏีของ Mises ใช้ได้แต่กับโลกยุคก่อน ผมไปตามอ่านคนพูดในอินเตอร์เน็ทว่าราคาของ Bitcoin จะตกลงเหลือ 0 หรือว่าผู้คนมีความต้องการที่จะถืออะไรก็ได้ที่ไม่ใช่ US Dollars จนdemandในฐานะการใช้งานจริงที่ Mises พูดถึงไม่จำเป็นเลย

 

เมื่อเวลาผ่านไปผมได้อ่านงานของ Konrad Graf / Peter Surda และ Daniel Krawisz สุดท้ายผมก็พบคำตอบ Bitcoin เป็นทั้งระบบการจ่ายเงิน และเป็นเงินด้วย สิ่งที่ทำให้ Bitcoin มีค่าในตัวมันเองขึ้นมาคือการเป็นระบบการจ่ายเงินนั่นเอง ตัว Bitcoin ที่เราใช้แลกเปลี่ยนกันเป็นแค่ค่าค่านึงเท่านั้นที่ถูกใช้แทนหน่วยเงิน ซึ่งการที่มันเป็นทั้งระบบการจ่ายเงิน และเป็นตัวเงินด้วยเป็นสิ่งที่แปลกมาก ซึ่งนั่นทำให้คนจำนวนมากไม่สามารถทำความเข้าใจกับมันได้ เราชินกับการที่ระบบการจ่ายเงิน กับตัวเงินเป็นสองสิ่งที่แยกออกจากกัน ซึ่งแนวคิดนี้เกิดจากการที่เราไม่เคยมีเทคโลยีที่สามารถทำอะไรแบบนี้ได้มาก่อน เราเคยมีเงินดอลลาร์ และเราก็มีบัตรเครดิต เรามีเงินยูโรและเราก็มี PayPal เรามีเงินเยนและเราก็มีบริการโอนเงิน ซึ่งในกรณีทั้งหมดการโอนเงินหากันต้องอาศัยบุคคลที่สามมาให้บริการ ในระบบแบบเดิมเราต้องเลือกที่จะเชื่อในผู้ให้บริการว่าเงินของเราจะถูกส่งไปถึงผู้รับได้จริง

 

ซึ่งช่องว่างระหว่างเงินและระบบการจ่ายเงินนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลายกเว้นในกรณีที่เรายืนอยู่ในที่ที่เดียวกันกับคนที่ต้องการจะส่งเงินให้ ถ้าคุณต้องการจ่ายเงินให้คนส่งพิซซ่าคุณสามารถจ่ายได้เลยไม่ต้องพึ่งคนที่สาม แต่ถ้าเราไม่อยู่ที่เดียวกันเราก็ต้องอาศัยความเชื่อมั่นในบุคคลที่สามในการดำเนินการให้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ Visa ธนาคารต่างๆเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิต ปัญหาของระบบนี้คือระบบการเงินในปัจจุบันไม่ได้ให้บริการกับคนทุกคนในโลก จริงๆแล้วคนจำนวนมากในโลกนี้ยังไม่สามารถเปิดบัญชีธนาคารได้ซึ่งก็เป็นส่วนนึงที่ทำให้โลกเต็มไปด้วยคนจน กลุ่มคนที่ไม่สามารถเปิดบัญชีได้ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากซื้อขายแลกเปลี่ยนในพื้นที่ที่ตัวเองอยู่อาศัย ไม่สามารถทำการค้ากับคนที่เหลือบนโลกได้

 

ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลหลักถ้าไม่ใช่เหตุผลทั้งหมดในการพัฒนา Bitcoin ขึ้นมา Protocol ของ Bitcoin รวมคุณสมบัติของเงินเข้ากับระบบการจ่ายเงิน สองสิ่งนี้หลอมรวมเข้าด้วยกันด้วยโครงสร้างของ code การเชื่อมต่อเข้าด้วยกันนี้ทำให้ Bitcoin แตกต่างจากค่าเงินของทุกประเทศในโลก จริงๆแล้วแตกต่างจากค่าเงินทุกชนิดที่เคยเกิดขึ้นมาในโลกด้วย

ลองดูคำพูดของ Nakamoto ที่พูดไว้ในบทคัดย่อของ Bitcoin White paper เราจะเห็นถึงความสำคัญของระบบการจ่ายเงิน ในระบบการเงินใหม่นี้

 

“เงินอิเล็คโทรนิคแบบ peer-to-peer จะช่วยให้การส่งเงินจากคนไปอีกคนนึงสามารถทำได้โดยไม่ต้องผ่านสถาบันการเงิน ลายเซ็นดิจิตอลช่วยให้ระบบนี้เป็นจริงขึ้นมาได้ แต่ระบบจะยังทำงานไม่ได้ถ้าไม่สามารถแก้ปัญหา double-spending ได้ เราขอเสนอทางออกของปัญหา double spending ผ่านเครือข่าย peer-to-peer ดังนี้ บันทึกเวลาที่transactionเกิดขึ้นแล้วhashข้อมูลรวมกับ proof-of-work ลงบน chain ซึ่งจะทำให้ข้อมูลไม่สามารถแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ถ้าไม่มีการทำ proof-of-work ใหม่ทั้งหมด chain ที่ยาวที่สุดไม่ได้แค่เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า ข้อมูลในchainนั้นมีการบันทึกต่อเนื่อง แต่มันพิสูจน์ด้วยว่ามาจาก pool ที่มี พลังประมวลผลมากที่สุด ตราบใดที่พลังประมวลผลหลักมาจาก node ที่ไม่ได้ร่วมมือกันเพื่อโจมตีเครือข่าย มันก็จะสร้าง chain ที่ยาวที่สุดต่อไปเรื่อยๆจนผู้ที่ต้องการโจมตีไม่สามารถตามได้ทัน ตัวเครือข่ายเองวางระบบไว้อย่างเรียบง่าย ข้อความจะถูกส่งออกไปเท่าที่ทำได้ แต่ละnodeสามารถเข้าร่วมหรือออกจากเครือข่ายเมื่อไหร่ก็ได้ เพราะสิ่งที่nodeมีหน้าที่ต้องทำคือเลือกยอมรับ chain ที่มีข้อมูลยาวที่สุดเท่านั้น”

 

สิ่งที่สำคัญของบทคัดย่อที่ Satoshi เขียนคือไม่มีการพูดถึงหน่วยเงินเลย มีพูดถึงแต่ปัญหา double-spending นวัตกรรมของ Bitcoin ตามคำพูดของผู้ที่สร้างมันขึ้นมาคือระบบการจ่ายเงิน ไม่ใช่ตัว Bitcoin ตัว Bitcoinหรือหน่วยเงินนี่เป็นสิ่งที่แสดงถึงมูลค่าเครือข่าย เป็นเหมือนกับเครื่องมือทางบัญชีที่บันทึกและส่งต่อมูลค่าของเครือข่ายข้ามผ่านพื้นที่และกาลเวลาเท่านั้น

เครือข่ายนี้ถูกเรียกว่า Blockchain มันคือบัญชีที่ถูกเก็บไว้ใน cloud เครือข่ายที่กระจายไปอยู่ทุกที่ มันสามารถที่จะถูกตรวจสอบดูด้วยใครก็ได้ตลอดเวลา มันถูกจับตาดูอยู่เสมอผ่านผู้ใช้งานจำนวนมาก มันช่วยให้เราสามารถส่งข้อมูลดิจิตอลจากคนนึงไปอีกคนนึงได้ทุกที่ในโลกได้อย่างปลอดภัยและไม่สามารถโกงด้วยการส่งซ้ำได้ ข้อมูลที่ส่งไปแล้วจะถูกบันทึกไว้อย่างถาวรในรูปแบบดิจิตอลคล้ายกับการที่เรามีโฉนดที่ดินซึ่งเมื่อเราโอนที่ดินไปแล้วเราไม่สามารถจะโอนซ้ำได้อีก นี่คือสิ่งที่ Satoshi เรียกว่า ลายเซ็นดิจิตอล สิ่งที่เค้าสร้างขึ้นหรือ สมุดบัญชีบนcloudทำให้เราสามารถเช็คได้ว่าใครเป็นเจ้าของสิทธิในของชิ้นนั้นได้โดยที่เราไม่ต้องพึ่งความเชื่อในตัวบุคคลที่สามเลย

 

ปัญหาที่ Blockchain แก้ได้ถูกเรียกว่า ปัญหาของนายพลยุค Byzantine (2 พันปีที่แล้ว) ปัญหาคือเราจะสามารถสั่งการได้ยังไงถ้าแต่ละคนอยู่กันคนละพื้นที่ และแต่ละพื้นที่ก็เต็มไปด้วยคนที่ไม่ได้หวังดีกับเรา เนื่องจากนายพลแต่ละคนอยู่ห่างกันไกลจึงต้องมีการพึ่งคนส่งสาร ซึ่งต้องใช้เวลาและอาศัยความเชื่อใจ นายพลแต่ละคนไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าจริงๆแล้วนายพลคนอื่นได้รับข้อมูลครบจริงหรือไม่ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องความถูกต้องของข้อมูลเลย

การที่เราเอาบัญชีกระจายไปไว้ในinternetช่วยให้เราแก้ปัญหานี้ได้ บัญชีนี้จะบันทึกจำนวน เวลา public address ของทุกๆ transaction ข้อมูลที่ถูกกระจายไว้ทั่วโลกนี้มีการอัพเดทตลอดเวลา ความมั่นคงของระบบบัญชีนี้ทำให้หน่วยเงิน Bitcoin เป็นเหมือนกับโฉนดการถือครองทรัพย์สินแบบดิจิตอล เมื่อเข้าใจเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่า มูลค่าของ Bitcoin มาจากการที่มันผูกติดกับระบบเครือข่ายการจ่ายเงิน ซึ่งนี่คือสิ่งที่ Mises พูดถึงเวลาเค้าพูดถึงมูลค่าแท้จริงในด้านการใช้งาน มูลค่าของมันไม่ได้อยู่ในหน่วยเงิน แต่มันถูกฝังอยู่ในนวัตกรรมใหม่อย่างชาญฉลาดในระบบการจ่ายเงินที่ตัว Bitcoin อาศัยอยู่ ถ้าเราบังเอิญสามารถแยกตัว Bitcoin ออกมาจากเครือข่ายการจ่ายเงิน(แต่จริงๆแล้วมันไม่สามารถทำได้) มูลค่าของหน่วยเงิน Bitcoin นั้นจะเท่ากับ 0 ทันที

 

Proof of concept

เพื่อที่จะเข้าใจเพิ่มว่าทฤษฏีของ Mises เข้ากับ Bitcoin ยังไง เราต้องย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ของ Cryptocurrency วันแรกที่ Bitcoin ถือกำเนิดขึ้น (9 มกราคม 2009) Bitcoin มีค่าเป็น 0 และยังคงเป็น 0 ในช่วงเวลา 10 เดือนหลังจากนั้น ถึงแม้ว่าจะมี transaction เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น แต่มูลค่าของมันก็ยังเท่ากับ 0 อยู่ดี

ราคาแรกของ Bitcoin ที่เกิดขึ้นคือ $1 ซื้อได้ 1,309.03 Bitcoin(ซึ่งสมัยนั้นก็ถูกมองว่าเกินราคาไปมาก) หรือราคาแรกของ Bitcoin คือ 2 สตางค์เท่านั้น ถ้าซื้อ 3 พันบาทในวันนั้น มูลค่าในวันนี้(ปี2014) จะเท่ากับ หนึ่งหมื่นหกพันล้านบาท

คำถามคือ อะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างวันที่ 9 มกราคม ถึง 5 ตุลาคม ปี 2009 ซึ่งทำให้ Bitcoin กลายเป็นสิ่งที่มีมูลค่าขึ้นมา คำตอบคือ trader คนที่สนใจ นักธุรกิจได้เข้ามาลองใช้ Blockchain คนกลุ่มนี้ที่ได้ลองใช้จริงและพบคำตอบที่ว่า ปัญหา Double-spending แก้ได้จริงหรือไม่ ระบบที่พึ่งพลังประมวลผลจากอาสาสมัครเพียงพอรึเปล่าที่จะยืนยัน transaction รางวัลทีเครือข่าย Bitcoin จ่ายออกไปเหมาะสมไหมในฐานะค่าบริการการใช้ระบบ และที่สำคัญที่สุด ระบบใหม่นี้ทำสิ่งที่ไม่ความจะเป็นไปได้ให้เป็นไปได้จริงรึเปล่า นั่นก็คือสามารถเคลื่อนย้ายข้อมูลข้ามผ่านพื้นที่และระยะเวลาโดยที่ไม่ต้องใช้บริการบุคคลที่สาม แต่ใช้แค่ peer-to-peer

Bitcoin ใช้เวลา 10 เดือนในการสร้างความมั่นใจ และใช้เวลาอีก 18 เดือนหลังจากนั้น กว่า 1 Bitcoin จะมีค่าเท่ากับ $1 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่เราต้องเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อพยายามใช้ ทฤษฏีการกำเนิดของเงินของ Mises มาอธิบาย Bitcoinไม่ได้มีค่าในฐานะเงินมาตั้งแต่แรก ในตอนเริ่มต้นมันเป็นแค่หน่วยทางบัญชีเท่านั้น แต่ตัวบัญชีเองนั้นมีคุณค่าในด้านการใช้งานจริงขึ้นมา(use value) ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ Bitcoin ตรงตามเงื่อนไขทฤษฏีการกำเนิดเงินของ Mises ทุกประการ

 

Final accounting

สรุปอีกครั้ง ถ้ามีใครยังพูดอยู่ว่า Bitcoin เกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่าในอากาศ และมันไม่สามารถเป็นเงินได้เพราะมันไม่เคยมีฐานะในฐานะสินค้าจริงมาก่อน ไม่ว่าคนที่พูดประโยคนี้จะเป็นมือสมัครเล่นหรือเป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ให้ตอบเค้าไปด้วย เหตุผลหลัก 2 ข้อ ข้อแรก Bitcoin ไม่ใช่ค่าเงินที่ลอยอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่มันเป็นหน่วยนับมูลค่าหน่วยนึงที่อยู่บนระบบการจ่ายเงินชนิดใหม่ สองเครือข่ายการจ่ายเงินนี้ซึ่งแน่นอนว่าต้องรวมตัว Bitcoin เข้าไปด้วย มีมูลค่าขึ้นมาด้วยการที่มีตลาดซื้อขายให้มูลค่าของมันมาอย่างต่อเนื่อง

ในอีกมุมนึง ถ้าเอาคุณสมบัติทางเทคนิคของ Bitcoin เข้ามาคิดด้วย คุณจะพบว่า Bitcoin มีจุดกำเนิดเหมือนกับค่าเงินอื่นๆ ตั้งแต่เกลือไปจนถึงทองคำ คือ ผู้คนพบว่าระบบการจ่ายเงินนั้นมีประโยชน์ หน่วยเงินในระบบก็สามารถเคลื่อนย้าย แบ่งย่อย แต่ละหน่วยมีค่าเท่ากัน คงทน และมีอยู่อย่างจำกัด

นั่นคือสาเหตุที่เงินชนิดใหม่นี้ถือกำเนิดขึ้นมาได้ เงินชนิดนี้รวมคุณสมบัติที่สำคัญต่อการเป็นเงินจากเงินทุกชนิดที่เคยเกิดขึ้นมาในประวัติศาสตร์ และเงินชนิดใหม่นี้ยังไม่มีน้ำหนัก ไม่กินที่ สามารถแลกเปลี่ยนไปได้ทุกที่ในโลกโดยที่ไม่ต้องพึ่งตัวกลางอีกต่อไป

แต่อย่าพึ่งลืมสิ่งที่สำคัญที่สุดไป Blockchain ไม่ได้ต้องเป็นเรื่องของเงินเท่านั้น แต่มันสามารถใช้แลกเปลี่ยนข้อมูลที่ต้องการความปลอดภัย การยืนยัน และการรับประกันความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดได้อีกด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้รวมไปถึงการทำสัญญา การแลกเปลี่ยนทุกชนิดระหว่างคนสองคน ลองนึกถึงโลกที่ไม่มีคนกลาง รวมถึงหนึ่งในตัวกลางที่อันตรายที่สุดที่มนุษย์เคยสร้างขึ้นมาอย่างรัฐ ลองจินตนาการถึงโลกใหม่นั้น แล้วจะเริ่มเข้าใจถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีนี้

ถ้าวันนี้ Misesได้รับรู้คงจะตื่นเต้นและตกใจกับ Bitcoin แต่เค้าก็คงจะภูมิใจที่ทฤษฏีทางการเงินของเค้าซึ่งมีอายุเกินกว่า 100 ปีแล้ว ยังคงถูกยืนยันว่าถูกต้องเป็นจริง ต่อชีวิตใหม่ในศตวรรษที่ 21

——————–

ยาวไปขี้เกียจอ่าน:
ทฤษฏีของ Ludwig von Mises บอกไว้ว่า ของชิ้นนึงจะต้องสามารถใช้งานได้มีค่าในตัวเองก่อน และเมื่อมันง่ายในการเก็บรักษา สะดวกในการใช้แลกเปลี่ยน มันก็จะชนะสินค้าอย่างอื่นและมีค่าในฐานะการเป็นเงินขึ้นมา ตัว Bitcoin เองไม่มีค่าอะไรเลย แต่สิ่งที่มีค่าคือ ระบบการจ่ายเงินของเครือข่ายBitcoin ที่ช่วยให้เราสามารถส่ง Bitcoin หากันได้อย่างสะดวกปลอดภัยผ่านอินเตอร์เน็ท ซึ่งการที่ทำได้นั้น Satoshi Nakamoto ได้แก้ปัญหา double-spending ผ่าน peer-to-peer ซึ่งไม่เคยมีใครแก้ได้มาก่อน นอกจากนี้ Bitcoin ยังไม่ได้ถูกเสกขึ้นมาและมีการตั้งราคาบังคับให้คนซื้อ แต่ตลาดค่อยๆให้ค่ามันขึ้นมาเองโดยเริ่มจาก 0 เป็นเวลาถึง 10 เดือน และใช้เวลามากกว่า 2 ปี กว่าตลาดจะให้มูลค่า Bitcoin เท่ากับ $1 ซึ่งทั้งหมดนี้หมายความว่า Bitcoin ใน ฐานะเงิน ตรงกับทฤษฏีที่ Ludwig von Mises พูดไว้เมื่อ 100 ปีที่แล้ว

https://fee.org/articles/what-gave-bitcoin-its-value/

 

แปลโดย Trakarn Buris

Article Bitcoin ประวัติศาสตร์ Bitcoin
Writer

Maybe You Like