fbpx

[แปล] Bitcoin Standard เมื่อระบบการเงินไม่ต้องขึ้นกับตัวกลาง บทที่ 2 เงินโบราณ

ทำไมในอดีตภาวะถึงเกิดการล่มสลายของระบบการเงิน มันเกิดขึ้นจากอะไรเราลองมามองผ่านมุมมองของการเงินโบราณกันครับ
ผลงานแปลนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างเพจ Blockchain Review และ คุณพิริยะ สัมพันธารักษณ์ MD ของ Chaloke dotcom ยังไงฝากติดตามด้วยนะครับ
(บทนี้แปลไม่ยากจบบทนี้ขอดองเช่นเคย)

[แปล] Bitcoin Standard เมื่อระบบการเงินไม่ต้องขึ้นกับตัวกลาง บทที่ 2 เงินโบราณ

20 May 2019

บทที่ 2 

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

เงินโบราณ

 

จากรูปแบบของเงินในประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่ผมเคยพบมานั้น  เงินที่มีระบบการทำงานคล้ายคลึงกับบิตคอยน์ที่สุด คือระบบของเงินโบราณที่เรียกว่า เงินหินราย (Rai stone) แห่งเกาะแยป (Yap) ซึ่งปัจจุบันคือส่วนหนึ่งของสหพันธรัฐไมโครนีเซีย การทำความเข้าใจว่าก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทำมาจากหินปูนสามารถทำงานเป็นเงินได้อย่างไรนั้น จะสามารถช่วยอธิบายให้เราเข้าใจถึงทำงานของบิตคอยน์ในบทที่ 8 ได้ และการเข้าใจถึงเหตุที่ทำให้หินรายต้องจบบทบาทหน้าที่ทางการเงินของมันในที่สุด จะเป็นบทเรียนที่สำคัญที่ทำให้เราเข้าใจว่าเหตุใดสถาณะทางการเงินของเงินชนิดหนึ่งจึงสูญสลายลงไป เมื่อเงินนั้นสูญเสียคุณสมบัติในการเป็นเงินที่สร้างขึ้นได้ยากของมัน

 

หินราย ที่ทำหน้าที่เป็นเงินนั้น มีขนาดที่หลากหลาย ตั้งแต่ก้อนเล็กๆ ไปจนถึงหินวงกลมแบนขนาดใหญ่ที่มีรูตรงกลาง และ มีน้ำหนักสูงถึง 4 ตัน หินเหล่านี้ไม่ได้มาจากเกาะแยปเนื่องจากว่าบนเกาะนั้นไม่มีหินปูนอยู่เลย หินในเกาะแยปทั้งหมดนำเข้าจากหมู่เกาะเพื่อนบ้านอย่างเช่นเกาะปาเลาและเกาะกวม ความสวยงามและความหายากของหินชนิดนี้จึงทำให้มันเป็นที่ต้องการและเป็นที่เคารพนับถือในเกาะแยป แต่การได้มันมานั้นเป็นเรื่องยากแสนยาก เนื่องจากมันต้องใช้แรงงานจำนวนมากในการขุดเจาหิน และขนส่งมันมายังเกาะแยปด้วยแพหรือเรือแคนู

 

หินบางก้อนจำเป็นต้องใช้แรงงานจำนวนหลายร้อยคนในการขนส่ง และ เมื่อหินเดินทางมาถึงเกาะแยปแล้ว มันก็จะถูกตั้งไว้ในที่แจ้งที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ตลอดเวลา เจ้าของหินสามารถใช้หินในการชำระเงินได้โดยที่ไม่มีความจำเป็นต้องเคลื่อนย้านก้อนหินเลยแม้แต่น้อย: สิ่งที่เจ้าของหินต้องทำ ก็เพียงป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้เห็นโดยทั่วกัน ว่าความเป็นเจ้าของในก้อนหินก้อนนี้นั้นได้ย้ายไปอยู่ที่ผู้รับแล้ว จากนั้นผู้คนทั้งเมืองก็จะรับรู้ว่าใครมีสิทธิ์เป็นเจ้าของหินก้อนนั้น และผู้รับผู้นั้นก็สามารถใช้มันในการชำระเงินเมื่อใดก็ตามที่เขาต้องการ ส่งผลให้มันไม่มีทางใดเลยที่ใครจะสามารถโขมยหินเหล่านี้ได้ เนื่องจากทุกคนต่างรู้ว่าใครเป็นเจ้าของหินก้อนใด

 

เป็นเวลาหลายศตวรรษหรืออาจเป็นสหัสวรรษ ที่ระบบการเงินประเภทนี้ทำหน้าที่ได้อย่างราบรื่นสำหรับชาวแยป แม้ว่าตัวหินจะไม่เคยเคลื่อนที่ไปไหน แต่มันกลับมีความสามารถในการขายเชิงระยะทางได้ เนื่องจากใครก็สามารถใช้จ่ายมันที่ไหนก็ได้บนเกาะแห่งนี้ ขนาดที่แตกต่างกันของก้อนหิน รวมไปถึงความสามารถในการใช้เพียงส่วนหนึ่งของก้อนหินในการชำระเงินแทนการใช้หินทั้งก้อน ยังทำให้มันมีความสามารถในการขายเชิงขนาดและปริมาณในระดับหนึ่ง  ความยากลำบาก และ ต้นทุนที่สูง ในการขุดและขนส่งหินใหม่จากเกาะปาเลา ก็ช่วยรักษาความสามารถในการขายเชิงเวลาของหินเหล่านี้ไว้ได้อีกหลายศตวรรษ

 

ค่าใช้จ่ายที่สูงในการขุด และ ขนส่งหินใหม่มายังเกาะแยป ทำให้อุปทานของหินที่มีอยู่เดิมนั้น มีมากมายมหาศาลเมื่อเทียบกับปริมาณของหินที่จะสามารถถูกผลิตขึ้นมาใหม่ได้ในระยะเวลาที่จำกัด ทำให้การที่ชาวแยปยอมรับมันเป็นรูปแบบการชำระเงิน เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด  กล่าวคือ หินราย มีอัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสที่สูงมาก และไม่ว่าหินนั้นจะเป็นที่ต้องการมากเท่าใด แต่การที่ใครจะอัดฉีดอุปทานของมันด้วยการขนหินใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมากก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายๆ หรืออย่างน้อย มันก็เป็นเช่นนั้นมาจนถึงค.ศ. 1871 เมื่อชาวบ้านชาวแยป ได้ช่วยชีวิตกับตันชาวอเมริกันเชื้อสายไอริชนามว่า เดวิด ดีน โอคีฟ ที่ประสบเหตุเรืออัปปางและหมดสติอยู่ ณ ชายหาดของเกาะแยป1 

 

โอคีฟเห็นโอกาสในการทำกำไรจากการนำมะพร้าวบนเกาะไปขายให้กับผู้ผลิตน้ำมันมะพร้าว แต่เขาไม่มีวิธีใดที่จะสามารถดึงดูดให้ชาวบ้านมาทำงานกับเขาได้เลย เนื่องจากชาวบ้านต่างพอใจกับชีวิตของพวกเขาบนเกาะสววรค์เขตร้อนแห่งนี้ และ พวกเขาก็ไม่รู้จะเอาเงินต่างด้าวของโอคีฟไปทำอะไร แต่โอคีฟเองก็ไม่ยอมแพ้ เขาออกเรือไปยังฮ่องกง และจัดหาเรือลำใหญ่พร้อมระเบิดจำนวนหนึ่ง แล้วจึงมุ่งหน้าไปยังเกาะปาเลา ที่ซึ่งโอคีฟได้ใช้ระเบิดและเครื่องมือทันสมัยในการขุดเจาะเหมืองขนาดใหญ่เพื่อผลิตหินรายจำนวนมาก แล้วจึงเดินเรือไปยังเกาะแยปเพื่อนำเอาหินที่เขาผลิตได้มาจ่ายให้ชาวบ้านเพื่อแลกกับมะพร้าว

 

ผลที่ได้กลับต่างจากสิ่งที่โอคีฟคาดหวัง ชาวบ้านไม่ต้องการหินของเขาเท่าไรนัก และ หัวหน้าหมู่บ้านยังห้ามไม่ให้ชาวบ้านทำงานแลกกับหินเหล่านั้นอีกด้วย โดยมีคำสั่งว่า หินของโอคีฟนั้นไม่มีมูลค่าแต่อย่างใด เนื่องจากมันผลิตมาง่ายเกินไป มีเพียงการขุดหินแบบดั้งเดิมที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและหยดเลือดของชาวแยปเท่านั้นที่จะสามารถนำมาใช้จ่ายบนเกาะแยปได้ แต่ชาวบ้านบางส่วนกลับไม่เห็นด้วยและ พวกเขาก็ทำการจัดหามะพร้าวตามที่โอคีฟต้องการ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งขึ้นบนเกาะ จนในที่สุดก็นำไปสู่จุดจบของหินรายในฐานะของเงินประจำเกาะ ในปัจจุบัน ชาวแยปใชัเงินรัฐบาลสมัยใหม่เป็นสื่อหลักในการแลกเปลี่ยน ส่วนหินรายเหลือหน้าที่ในเชิงพิธีกรรมและวัฒนธรรมบนเกาะเท่านั้น

 

ถึงแม้เรื่องราวของโอคีฟ จะมีความสำคัญอย่างมากในเชิงสัญลักษณ์ แต่แท้จริงแล้ว โอคีฟ เป็นเพียงผู้นำมาซึ่งความล่มสลายที่มิอาจหลีกเลี่ยงได้ของหินรายในฐานะการเป็นเงิน อันมีต้นเหตุมาจากอารยธรรมอุตสาหกรรมสมัยใหม่ที่ได้คืบคลานเข้ามายังเกาะแยปและผู้อยู่อาศัยบนเกาะแห่งนี้ กล่าวคือ มันเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เลยที่การผลิตหินรายจะมีค่าใช้จ่ายที่ลดลงเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อใดที่เครื่องมือ และ ความสามารถทางอุตสาหกรรมสมัยใหม่ ได้เดินทางมาถึงเกาะแห่งนี้ ก็จะทำให้มีโอคีฟเกิดขึ้นอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนท้องถิ่นหรือชาวต่างด้าว ที่จะสามารถจัดหา หรือผลิตหินใหม่จำนวนมากยิ่งไปกว่านี้ ให้แก่ชาวเกาะแยปได้อยู่ดี เห็นได้ว่า เทคโนโลยีสมัยใหม่ ส่งผลให้อัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสของหินรายลดต่ำลงอย่างรุนแรง เนื่องจากมันทำให้เป็นไปได้ที่จะผลิตหินเหล่านี้ในจำนวนที่สูงขึ้นอย่างมหาศาลในทุกๆ ปี ส่งผลให้เกิดการลดมูลค่าของหินที่มีอยู่เดิมอย่างมีนัยสำคัญ จนทำให้การใช้หินเหล่านี้เป็นแหล่งเก็บรักษามูลค่ากลายเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลายิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยนี้นำมาสู่การสูญเสียความสามารถในการขายเชิงกาลเวลา และความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในที่สุด

 

แม้รายละเอียดจะต่างกัน แต่เงินทุกรูปแบบที่เคยสูญเสียบทบาทหน้าที่ทางการเงินลงไป ล้วนมีกลไกพื้นฐานที่ส่งผลให้อัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสของเงินลดลงเหมือนๆ กัน แม้กระทั้งการล่มสลายของเงินโบลิวาร์ของเวเนซุเอลาที่กำลังเกิดขึ้นขณะที่บรรทัดเหล่านี้กำลังถูกเรียบเรียงขึ้นมาก็ไม่ต่างกัน

 

เรื่องราวที่คล้ายคลึงกัน ได้เกิดขึ้นกับลูกปัดอักกริ (Aggry beads) ที่ถูกใช้เป็นเงินอยู่หลายศตวรรษในทางตะวันตกของแอฟริกา แม้ประวัติศาสตร์ที่มาของลูกปัดเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน โดยบางแหล่งข้อมูลกล่าวว่ามันทำมาจากหินอุกกาบาต  และ บางแหล่งก็กล่าวว่ามันมาจากพ่อค้าชาวอียิปต์ และ ฟินิเซียน แต่สิ่งที่แน่ชัดคือ ลูกปัดเหล่านี้มีค่าอย่างมากในพื้นที่ที่เทคโนโลยีในการทำเครื่องแก้วยังมีราคาแพงและไม่แพร่หลาย ทำให้มันมีค่าอัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสที่สูง ส่งผลให้มันมีความสามารถในการขายเชิงกาลเวลา และการที่ลูกปัดเหล่านี้มีขนาดเล็ก แต่สามารถนำมาร้อยรวมกันเป็นห่วงโซ่, สร้อยคอ หรือ สร้อยข้อมือได้ ยังทำให้มันมีความสามารถในการขายเชิงขนาดและปริมาณ; ถึงแม้มันจะยังห่างใกลจากอุดมคติอยู่มากเนื่องจากตัวลูกปัดเองไม่ได้มีหน่วยที่เป็นมาตรฐาน แต่กลับมีขนาดและชนิดที่หลากหลาย  นอกจากนั้น เนื่องจากลูกปัดเหล่านี้ยยังสะดวกต่อการพกพาเคลื่อนย้าย จึงทำให้มันมีความสามารถในการขายเชิงระยะทางที่ดีอีกด้วย ในทางกลับกัน ในยุโรป ลูกปัดแก้วกลับไม่ได้มีค่าสักเท่าไรนัก และมันก็ไม่ได้มีบทบาทหน้าที่ทางการเงินแต่อย่างใด เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยีการผลิตทำให้การผลิตลูกปัดแก้วเป็นจำนวนมากสามารถทำได้ง่าย ส่งผลให้ผู้ผลิตสามารถผลิตมันเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจนล้นตลาดได้อย่างรวดเร็วถ้ามันถูกนำมาใช้เป็นเงิน หรือในอีกนัยหนึ่งก็คือ ลูกปัดเหล่านี้มีอัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสที่ต่ำนั่นเอง

 

ครั้นเมื่อนักสำรวจและพ่อค้าชาวยุโรปเดินทางไปยังแอฟริกาตะวันตกในศตวรรษที่สิบหก พวกเขาเห็นว่า ลูกปัดแก้วเหล่านี้เป็นสิ่งมีค่าเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาจึงเริ่มนำเข้าลูกปัดจำนวนมากจากยุโรป สิ่งที่ตามมานั้นคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโอคีฟ แต่ด้วยขนาดที่เล็กของลูกปัด และจำนวนประชากรที่สูงกว่าอย่างมาก จึงทำให้กระบวนการการล่มสลายนั้น เชื่องช้า ยาวนาน และผลที่ตามมา ก็เต็มไปด้วยโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ และ น่าเศร้ายิ่งกว่ากรณีของโอคีฟและชาวแยป แม้จะใช้เวลานาน แต่สุดท้ายชาวยุโรปก็สามารถซื้อทรัพยากรอันล้ำค่าเป็นจำนวนมากจากแอฟริกา ด้วยลูกปัดราคาถูกที่หาได้ง่ายๆในทางฝั่งยุโรป2

 

การรุกล้ำของยุโรปเข้าไปในแอฟริกาค่อยๆแปลงสภาพลูกปัดแก้ว จากเงินที่สร้างยาก กลายเป็นเงินที่สร้างง่าย ทำลายล้างความสามารถในการขาย และ กัดกร่อนอำนาจในการจับจ่ายใช้สอยของลูกปัดในมือของผู้ที่ถือครองมันอยู่ลงไปเรื่อยๆ ส่งผลให้ผู้ถือครองลูกปัดยากจนลงผ่านการถ่ายเทความมั่งคั่งของพวกเขาไปสู่มือชาวยุโรปที่สามารถจัดหาลูกปัดจำนวนมากได้ในราคาถูก ในเวลาต่อมา ลูกปัดอักกริมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลูกปัดทาส เนื่องมาจากบทบาทของมันในการกระตุ้นธุรกิจการค้าทาสชาวแอฟริกันให้แก่ชาวยุโรปและอเมริกาเหนือ

 

การล่มสลายทางมูลค่าของสื่อกลางทางการเงินในระยะเวลาสั้นๆ นั้น เป็นโศกนาฏกรรมที่น่าสลดใจ แต่อย่างน้อย มันก็จบลงอย่างรวดเร็ว และ ผู้ถือครองสื่อกลางเหล่านั้นก็สามารถที่จะเริ่มซื้อขาย เก็บออม คำนวณ และวางแผนการเงิน ด้วยสื่อกลางชนิดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว แต่การสูบเลือดสูบเนื้ออย่างช้าๆ จะค่อยๆเคลื่อนย้ายความมั่งคั่ง จากผู้ถือครองสื่อกลางทางการเงิน ไปสู่เงื้อมมือของผู้ที่สามารถผลิตสื่อกลางนั้นได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่า นี่เป็นบทเรียนที่ควรค่าแก่การจดจำ เมื่อเราหันไปสู่บทพูดคุยในเรื่องความมั่นคงของเงินรัฐบาลในช่วงหลังของหนังสือเล่มนี้

 

เปลือกหอยเป็นอีกหนึ่งสื่อกลางทางการเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ตั้งแต่อเมริกาเหนือไปจนถึงแอฟริกาและเอเชีย บันทึกทางประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า เปลือกหอยที่มีความสามารถในการขายสูงที่สุดมักจะเป็นหอยที่มีจำนวนน้อย และหาได้ยาก เนื่องจากมันมีมูลค่ามากกว่าหอยชนิดอื่น ๆ ที่หาได้ง่ายกว่า3

 

ชาวอเมริกันพื้นเมือง และ ผู้ตั้งรกรากชาวยุโรปในยุคแรก ใช้เปลือกหอยวัมปัม (wampum) ในการค้าขายแลกเปลี่ยนกันอย่างแพร่หลาย เช่นเดียวกับลูกปัดอักกรี หอยเหล่านี้เป็นหอยหายาก ทำให้มันมีอัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสที่สูง และ อาจสูงที่สุดในบรรดาสินค้าต่างๆ ในเวลานั้น เช่นเดียวกับลูกปัดอักกรี เปลือกหอยมีขนาดและรูปร่างที่หลากหลาย ซึ่งทำให้การกำหนดราคาและการวัดมูลค่าด้วยเปลือกหอยนั้นทำได้ยาก ส่งผลให้เกิดอุปสรรคต่อความเจริญทางเศรษฐกิจและการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะทางเป็นอย่างยิ่ง3

 

เหล่าผู้ตั้งรกรากชาวยุโรปได้กำหนดให้เปลือกหอยเป็นเงินที่สามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายตั้งแต่ปีค.ศ. 1636 แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเหรียญทองและเหรียญเงินเริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่ฝั่งอเมริกาเหนือ เหรียญทองและเงินก็กลายเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนที่ได้รับความต้องการมากกว่า เนื่องจากลักษณะความเป็นเอกรูปของมัน ที่ทำให้สามารถกำหนดราคาสินค้าต่างๆ ได้อย่างเที่ยงตรง และ สม่ำเสมอกว่า ส่งผลให้พวกมันมีความสามารถในการขายที่สูงกว่าเปลือกหอย ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพัฒนาการทางเทคโนโลยีการเดินเรือ และ การประมงพัฒนาสูงขึ้น ความสามารถในการหาเปลือกหอยก็สูงขึ้นตาม นำมาสู่สภาวะอุปทานล้นตลาด ส่งผลให้มูลค่าของเปลือกหอยลดลง และสูญเสียความสามารถในการขายเชิงกาลเวลาลงไป จนถึงปีค.ศ. 1661 เปลือกหอยก็หมดสถาณะการเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย และจบสิ้นบทบาทหน้าที่ทางการเงินไปโดยสิ้นเชิง4

 

นี่ไม่ได้เป็นเพียงชะตากรรมที่เกิดขึ้นกับเงินเปลือกหอยในอเมริกาเหนือเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่สังคมที่ใช้เปลือกหอยเป็นหน่วยกลางทางการเงิน สามารถเข้าถึงเหรียญโลหะที่มีความเป็นเอกรูปได้ สังคมเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนมาใช้เหรียญโลหะแทนเปลือกหอย และสังคมก็จะได้รับประโยชน์ทางเศรษฐกิจ จากการเปลี่ยนแปลงนั้น กอปรกับการมาเยือนของอารยธรรมอุตสาหกรรม ที่มาพร้อมเรือเชื้อเพลิงน้ำมันฟอสซิล ที่ทำให้การกวาดพื้นมหาสมุทรหาเปลือกหอย ทำได้ง่ายดายยิ่งขึ้น ส่งผลให้กระแสการผลิตเปลือกหอยเพิ่มสูงขึ้น และอัตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแสของเปลือกหอยก็ลดลงอย่างรวดเร็ว

 

รูปแบบเงินโบราณอื่นๆ ยังมีดังเช่น วัว ที่ได้รับความนิยมเพราะคุณค่าทางโภชนาการของมัน เนื่องจากมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ผู้คนจะสามารถครอบครองได้ และยังมีความสามารถในการขายเชิงระยะทางเนื่องจากมันสามารถเดินได้ วัวจึงยังเป็นสินทรัพย์ที่ยังมีบทบาทหน้าที่ทางการเงินมาจนถึงปัจจุบัน โดยยังมีหลายสังคมที่ยังใช้มันอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเป็นสินสมรส แต่อย่างไรก็ตาม การที่วัวมีขนาดที่ใหญ่ และไม่สามารถแตกออกเป็นหน่วยย่อยๆ ได้ ทำให้วัวนั้น ไม่ค่อยมีประโยชน์ในการใช้จ่ายขนาดเล็ก ๆ สักเท่าใด  จึงทำให้มีเงินอีกประเภทที่อยู่คู่กับวัวมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือเกลือ

 

เกลือนั้นสามารถเก็บรักษาเอาไว้เป็นเวลานานได้ และยังสามารถแยกย่อย หรือรวมกันเป็นหน่วยที่ใหญ่กว่าได้ตามน้ำหนักที่ต้องการ ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์นี้ยังคงปรากฎให้เห็นอยู่ในภาษาอังกฤษ โดยคำว่า pecuniary ที่หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเงินนั้น แปรรูปมาจากคำว่า pecus ที่แปลว่าวัวในภาษาละติน ในขณะที่คำว่า salary ที่หมายความว่าเงินเดือนหรือเงินค่าจ้างนั้น ก็มาจากคำภาษาละตินว่า sal ที่หมายถึงเกลือนั่นเอง 5

 

เมื่อพัฒนาการทางเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีทางด้านโลหะวิทยา ทำให้มนุษย์ สามารถพัฒนารูปแบบของเงินที่เหนือกว่าขึ้นมาแทนที่เงินโบราณเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว เงินโลหะนั้นสามารถเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนได้ดีกว่าเปลือกหอย, หิน, ลูกปัด, วัว, และเกลือ เนื่องจากมันสามารถถูกผลิตขึ้นเป็นเหรียญที่ลักษณะเอกรูป และมีมูลค่าสูงในขณะที่มีขนาดเล็ก ง่ายต่อการเคลื่อนย้ายกว่าเงินโบราณเป็นอย่างมาก อีกปัจจัยที่เป็นตะปูตอกฝาโลงของเงินโบราณ คือการแพร่หลายของพลังงานน้ำมันไฮโดรคาร์บอน ที่ทำให้ความสามารถในการผลิตของมนุษยชาติสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้กระแสการผลิตของสิ่งต่างๆ ที่ถูกใช้เป็นเงินโบราณเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หมายความว่าเงินใดๆ ที่อาศัยความยากในการผลิตเป็นเกราะป้องกันอัตตราส่วนจำนวน-ต่อ-กระแส ของมันนั้น ต้องสูญเสียเกราะป้องกันนั้นไป

 

ด้วยเชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอนสมัยใหม่ ทำให้หินราย สามารถถูกขุดเจาะและผลิตขึ้นได้โดยง่าย, ลูกปัดอักกรีสามารถถูกผลิตขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำ, และเปลือกหอยก็สามารถถูกเก็บได้เป็นจำนวนมากด้วยเรือขนาดใหญ่ ทันที่ที่เงินเหล่านี้สูญเสียความยากในการผลิตของมันลงไป ผู้ที่ถือครองมันอยู่ต่างต้องประสพพบเจอกับการสูญเสียความมั่งคั่งอย่างใหญ่หลวง และโครงสร้างทางสังคมที่ใช้เงินนั้นก็พังทลายลง หัวหน้าเผ่าชาวแยปที่ปฏิเสธหินรายราคาถูกของโอคีฟเข้าใจในสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ยุคใหม่หลายคนยังไม่สามารถเข้าใจได้ นั่นคือ เงินที่สร้างขึ้นได้ง่ายนัี้นไม่ใช่เงินโดยสิ้นเชิง และเงินสร้างง่ายไม่สามารถสร้างความมั่งคั่งให้กับสังคมได้ ตรงกันข้าม มันกลับทำให้สังคมยากจนลงด้วยการนำความมั่งคั่งที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อที่มีค่า มาแลกกับสิ่งที่ผลิตได้โดยง่ายดาย

Notes

1 The story of O’Keefe inspired the writing of a novel named His Majesty O’Keefe by Laurence Klingman and Gerald Green in 1952, which was made into a Hollywood blockbuster by the same name starring Burt Lancaster in 1954. 

2 To maximize their profits, Europeans used to fill the hulls of their boats with large quantities of these beads, which also served to stabilize the boat on its trip. 

3 Nick Szabo, Shelling Out: The Origins of Money. (2002) Available at http://nakamotoinstitute.org/shelling‐out/ 

4 Ibid. 

5 Antal Fekete, Whither Gold? (1997). Winner of the 1996 International Currency Prize, sponsored by Bank Lips.

 

หมายเหตุ

1 เรื่องราวของออคีฟเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนนวนิยายเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่า His Majesty O’Keefe โดย Laurence Klingman และ Gerald Green ในปี ค.ศ. 1952 ต่อมาได้สร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูด ภายใต้ชื่อเดียวกัน นำแสดงโดย Burt Lancaster ในปี ค.ศ. 1954 

2 ชาวยุโรปต่างบรรจุลูกปัดแก้วจำนวนมากไว้ในท้องเรือเพื่อผลประโยชน์สูงสุด ซึ่งลูกปัดเหล่านี้ยังทำหน้าที่เป็นอับเฉาที่ทำให้เรือมีเสถียรภาพในท้องทะเลยิ่งขึ้น

3 Nick Szabo, Shelling Out: The Origins of Money (2002) Available at http://nakamotoinstitute.org/shelling‐out/ 

4 จากบทความเดียวกันกับข้อ 3

5 Antal Fekete, Whither Gold? (1997) ผู้ชนะรางวัล International Currency Prize ในปี ค.ศ. 1996 ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก Bank Lips

 

Article bitcoin-standard แปล
Writer

Maybe You Like