ขายคริปโตทิ้งดีไหม ? นี่คงเป็นคำถามที่สำคัญสำหรับหลายๆท่านที่เข้ามาเล่นคริปโตกัน เพราะตั้งแต่ตนปีที่ผ่านมา ราคาของคริปโต มีแต่จะลง และคนส่วนมากเข้ามาเล่นในช่วงตลาดบูมทั้งนั้น นับว่าเป็นการเล่นตามกระแส ขายตาม(ไม่ทัน)กระแส หากท่านมีคำถามดังกล่าว ลองอ่านบทความพวกนี้ดู เพื่อประกอบการตัดสินใจในการเอาตัวรอดของท่าน
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
เนื้อหาต่อจากนี้เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์
อาจทำให้มึนงงบ้าง ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
จุดกำเนิด Bitcoin
มีใครจำเหตุการณ์ปี2008ได้บ้าง เวลานั้นโลกของเราได้พบกับวิกฤติการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของมนุษย์
นั่นคือ “SubprimeCrisis” หรือ “HamburgerCrisis” โดยชื่อ Hamburger มาจากที่จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์คืออเมริกา
สาเหตุมาจากการปล่อยสินเชื่อแบบไม่ดูเครดิต เพียงเพราะค่านายหน้าของนายธนาคาร
ทำให้เกิดการล้มของธนาคารและคนที่กู้เงินเหล่านั้นไปก็เอาไปเล่นที่จากกระแสการนิยมอสังหาริมทรัพย์
หลังจากวิกฤตินั้น Bitcoin ได้เกิดขึ้นมา
แต่มีอีกสิ่งนึงที่เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน นั่นคือการพิมพ์เงินเพื่ออัดฉีดเศรษฐกิจ QE Wind เป็นมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ
Timeline คือรัฐจะเข้าไปซื้อสินทรัพย์ของสถาบันการเงิน และด้วยเงินตรงนี้จะทำให้สถาบันการเงินไปปล่อยกู้กับภาคเอกชนต่อ
เพื่อกระตุ้นระบบเศรษฐกิจ ทำให้ประชากรทั้งประเทศมีการใช้จ่ายมากขึ้น
และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา คือ QE Unwind เป็นการขายสินทรัพย์คืนให้กับสถาบันการเงิน เพื่อเอาเงินคืน นั่นทำให้สถาบันการเงินลดการปล่อยกู้ ทำให้สภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจลดลง นำไปสู่ภาคเอกชนมีสภาพคล่องลดลง ภาคเอกชนจะดำเนินนโยบายที่รัดกุมมากขึ้น จะใช้เงินแบบคิดมากขึ้น และนั่นส่งผลต่อพนักงานที่อาจจะมีการปรับตัวทางเงินเดือนที่ไม่มากนัก หรืออาจจ้างออก พนักงานเหล่านั้นเมื่อเลิกงาน เดินออกจากบริษัทมา พวกเค้าคือผู้บริโภคในระบบเศรษฐกิจ เมื่อพวกเค้าเงินน้อยลง ก็จะใช้น้อยลง ทำให้บริษัทมีรายได้น้อยลงไปอีก ผมเห็นด้วยกับนักวางแผนทางการเงินหลายท่านที่บอกว่า Easy Money หรือช่วงที่เงินหาง่าย (2013-2017) มันจบลงแล้ว และเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดสภาวะเงินหาง่ายแบบนั้นขึ้นอีก
การดึงเงินกลับของ FED ในปี2018 เริ่มวันที่18มกราคม2018 เราจะต่อเนื่องไปอีกเป็นปี
เมื่อFEDดึงเงินกลับครบ บริษัทเหล่านั้นก็ต้องใช้เวลาสักพักนึงในการฟื้นตัวด้านสภาพคล่อง
โดยไทม์ไลน์ของ FED เป็นดังนี้
โดยไทม์ไลน์การดึงเงินของ FED คือ
2017 ดึงเงินกลับ 171 billion dollars
2018 ดึงเงินกลับ 420 billion dollars
2019 ดึงเงินกลับ 600 billion dollars
จะเห็นว่า กราฟ FED Balance Sheet เริ่มหักลงช่วงธันวาคมปี2017
และเริ่มเปลี่ยนเทรนขาลงในต้นปี2018 และก็ลดลงมาเรื่อยๆ
หากมองตั้งแต่ต้นปีมาจนถึงวันนี้ จะพบว่า Balance Sheet ของ FED ดึงเงินกลับไปทำลายทิ้งอย่างมหาศาล
โดยFEDวางแผนการณ์จะดึงเงินกลับอเมริกา ไปทำลายทิ้งประมาณ 3.4trillion dollars หรือ 3400 billion dollars ใน 4-5ปี
เป็นเม็ดเงินประมาณ 113.13ล้านล้านบาทโดยประมาณ มากกว่าหนี้ต้มยำกุ้ง(หนี้ต้มยำกุ้งเริ่มต้น1.14ล้านล้านบาท
ปัจจุบันใช้ไปเพียง3หมื่นล้านบาท ต้องชำระอีก 1.11ล้านล้านบาท)ที่เรายังใช้ไม่หมดถึง100เท่า
ปัจจัยที่ทำให้ราคา Bitcoin เพิ่มขึ้น
ในสภาวะที่เงินเริ่มฝืด การเก็งกำไรบนสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากจะถูกลดทอนลงมา
สาเหตุหลักที่ผมมองว่าจะทำให้คริปโตกลับมาราคาเพิ่มขึ้นได้มี5อย่าง ไม่นับการปั่นราคานะ เพราะมันไม่ได้ถาวร
1.Earning จากธุรกิจที่เข้ามาใช้คริปโตจำนวนมหาศาล
แต่ตรงนี้ก็ติดตรง สภาพคล่องของ Transaction และระบบที่ยังไม่ดีพอ
หนึ่งในเรื่องที่น่ากลัวคือธุรกิจบางแห่งนำบล็อกเชนไปใช้ แต่มี Earning กลับเข้ามาในเหรียญๆนั้นไม่มากพอ
และบางเหรียญไม่มี Earning หากเทียบกับราคาและMarketCapปัจจุบัน
อาจต้องใช้เวลาหลายปีในการสร้าง Earning ให้มาซัพพอร์ตราคาที่เก็งกำไรกันมหาศาล ณ เวลานี้
2.Trend คนเข้ามาถือคริปโต และถูกจัดเป็นสินทรัพย์
และมีคุณสมบัติเหมือนสินทรัพย์ ตรงนี้อาจจะยาก เพราะ
-ราคามีการเปลี่ยนแปลงที่มาก ราคายังถูก Munipulate หรือถูกควบคุมได้ง่าย
-คุณสมบัติยังไม่ผ่านการเป็นสินทรัพย์โดยสมบูรณ์ฺ และยังไม่มีการยอมรับเป็นสินทรัพย์
ส่วนมากเอาไปใช้ค้ำประกันเป็นหลักทรัพย์ไม่ได้ แต่อาจมีบางที่ที่รับเป็นสินทรัพย์
ผมเคยถามเรื่อง Private Banking กับเพื่อนผมที่ติดต่อกับ UBS ท่านนึง
กล่าวว่า เวลาไปเปิด Private Banking ต้องมีจำนวนเงินตามเกณฑ์และแหล่งที่มาที่เข้าเกณฑ์
ซึ่งธนาคาร UBS ไม่รับคนเปิด Private Banking จากเงินกำไรคริปโต
-จากเทรนต้นปีเป็นต้นมา คนเล่นคริปโตต่างบ่นกันหนาหูว่า When Moon
หากท่านไม่เชื่อ สามารถไปสำรวจด้วยตาของท่านได้ที่กลุ่มเฟสบุ๊ค Bitcoin Thai Club
3.เมื่อโลกมีสภาพคล่องมากขึ้น ปัจจุบันเงินในโลกมีสภาพคล่องลดลง
และจะลดลงไปอีก4-5ปีตาม QE Unwind Timeline
ฉะนั้นหากเงินไม่ได้หาง่ายแล้ว คนส่วนนึงเลือกที่จะปกป้องสินทรัพย์ของพวกเขา
ด้วยการลดสินทรัพย์เสี่ยงและไปถือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยลงกว่าคริปโต
4.Blockchain กับความเสี่ยง Quantum Computer ในทิศทางที่ดีขึ้น
ตรงข้อนี้ให้เป็นตัวชี้วัด เพราะ Google ได้วิจัย Quantum มาเกิน50% แล้ว
หาก Blockchain พัฒนาตัวเองไม่ทัน อาจจะมีความเสี่ยงจากการโดนแฮกได้
5.Business กับ Blockchain ในทิศทางที่ดีขึ้น
ธุรกิจส่วนมากสนใจบล็อกเชน แต่ไม่จำเป็นต้องมีคริปโต
อย่างกรณีของ Ma Yun หรือ Jack Ma นั้น ไม่ได้สนใจคริปโต
แต่กลับสนใจ Blockchain และมองว่า Blockchain เหมาะกับอุตสาหกรรมประกันภัย
( ไหนหล่ะ Earning to Crypto ) แล้วท่านรู้หรือไม่ว่า Jack Ma นั้นลงทุนธุรกิจประกันภัยไร้พนักงาน
ที่ชื่อว่า ZhongAn Insurance หากท่านไปอ่าน Report ของ ZhongAn จะพบว่า มีการวางแผนใช้ Blockchain
จากความเสี่ยงทั้ง5ข้อ
ขอให้ท่านตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะ “ถือ” (Holder) หรือ “ขาย” (Seller) คริปโตในมือท่าน
โดยส่วนตัวผมเห็น QE Unwind ส่งผลต่อการลงทุนเกือบทุกชนิดทั่วโลก
กลยุทธ์ของผมจะเสี่ยงเมื่อสถานการณ์ระดับโลกเอื้ออำนวย ดังนั้นผมจะลดการลงทุนคริปโตลง หาก5ข้อด้านบนยังไม่ดีขึ้น
พอร์ทของผมเคยออลอินในคริปโต และทยอยขายออกตั้งแต่ช่วงพฤษภาคมเป็นต้นมา และเทขายทั้งหมดในช่วงกรกฎาคมที่ผ่านมา
ขอเล่าเพิ่มสักนิด ปี2008 กองทุนของ Peter Lynch ทำประสิทธิภาพได้เพียง ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ (เท่าที่จำได้ น้อยกว่า5%) ปีนั้นมีกองทุนกำไรเพียงไม่กี่กองทุน
และเกือบทั้งหมดขาดทุน 20% หรือมากกว่านั้น เพราะ Peter Lynch เห็นอะไรบางอย่างในปี2008 จึงไม่ได้ลงทุนเพิ่ม
แต่นั่นกลับเป็นเรื่องที่ดีที่สุด จากการมองภาพใหญ่ของเศรษฐศาสตร์