ผลกระทบเมื่อบล็อกเชนทำให้รัฐอาจจะต้องสร้างเงินดิจิตัล
ผลกระทบของเงินสดและ ePayment เป็นสิ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดมากขึ้น เมื่อบทบาทของบล็อกเชนและเงินดิจิทัลเริ่มเข้ามาแทนที่ ทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งตื่นตัวตามกระแสดังกล่าว เริ่มมีสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ออกมามากขึ้น เพื่อสนองความต้องการของตลาด สกุลเงินดิจิทัลมีข้อดีหลายอย่างที่รัฐบาลควรจะสนใจ เช่นการที่สามารถตรวจสอบติดตามธุรกรรมทั้งหมดได้ ประเมินความเสี่ยงในการใช้จ่ายของคนในประเทศได้ ต้นทุนการผลิตต่ำ ต้นทุนการขนย้ายต่ำ เหรียญที่มูลค่าคงที่ที่เราเห็นกันทุกวันนี้เป็นเพียงตัวทดสอบเท่านั้น เพราะถ้าเหรียญเหล่านี้เหมาะสมต่อการใช้งาน รัฐบาลจะนำโมเดลนี้ไปสร้างเงินดิจิทัลของตัวเองบ้าง หลายคนคงมีคำถามที่ว่า ทำไมรัฐไม่จับมือกับบริษัทที่ทำเหรียญซะเลย ถ้าเหรียญนั้นเป็นที่นิยมจริง เงินของรัฐก็น่าจะเป็นที่นิยมเช่นกัน ต้องขอเกริ่นก่อนว่า การฝากการผลิตเงินไว้ในมือของเอกชนเคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีตที่ประเทศฝรั่งเศส และมันจบลงความหายนะ เพราะบริษัทเอกชนเหล่านั้นโกงเงินที่ผลิตขึ้นมา ทำให้เกิดเงินเฟ้อมหาศาล (Hyperinflation) คำพูดนึงของ Lee Hsien Loong (ที่เป็นทั้งผู้นำสิงคโปร์คนปัจจุบันและลูกชายของอดีตผู้นำสิงคโปร์ Lee Kuan Yew )ที่น่าสนใจคือ “มันยากที่จะห้ามใจ เมื่อคุณสร้างอะไรขึ้นมาจาก0ได้” ดังนั้นหากรัฐจะออกสกุลเงินดิจิทัลเอง รัฐควรจะเป็นผู้ดูแลระบบเอง
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!ผลประโยชน์ด้านการพิมพ์เงิน รัฐประหยัดงบประมาณแค่ไหน
BOT (Bank of Thailand) หรือธนาคารแห่งประเทศไทยได้พูดถึงเรื่อง e-Payment ไว้อย่างน่าสนใจว่า เงินกระดาษหรือศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cash นั้นมีต้นทุนทางการเงินที่สูงกว่าต้นทุนทางดิจิทัลถึง3เท่า โดยพิจารณาจากต้นทุนการผลิตและขนส่ง ตัวเลขการผลิตและขนส่งเงินกระดาษอยู่ที่ราวปีละ5หมื่นล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก และหากใช้ e-Payment อาจลดต้นทุนเหลือเพียง 1.6หมื่นล้านเท่านั้น
แนวโน้มของเงินดิจิทัลและสังคมไร้เงินสด
การใช้เงินสดและธุรกรรมที่ไม่ใช้เงิน โดยเปรียบเทียบจากประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศกำลังพัฒนา คำถามสำคัญคือ ไทยอยู่ตรงไหน
จะเห็นว่าประเทศที่เจริญแล้วส่วนมาก เน้นใช้เงินสดลดลง มีส่วนแบ่งของธุรกรรมดิจิทัลมากขึ้น เพื่อลดต้นทุน สาเหตุนึงมาจากธุรกรรมดิจิทัลนั้นสะดวกสบาย แต่เงินกระดาษยังตอบโจทย์ในด้านความเชื่อมั่นที่มากกว่า ดังนั้นยังคงมีทั้งสองสิ่งในระบบการเงินในช่วงเวลา10ปีนี้อย่างแน่นอน อนาคตเราอาจได้เห็นสังคมที่ไม่ใช้เงินสด ตัวแปรสำคัญคือการเชื่อมั่นและยอมรับ อาจต้องรอเวลาให้คนรุ่นต่อไป ที่เติบโตมากับเงินดิจิทัลและยอมรับมันมากกว่าเงินกระดาษ เมื่อถึงจุดนั้น สังคมเงินสุดถึงจะเกิดขึ้นได้
ประเทศไทยมีคนใช้ ePaymentมากขึ้น ในขณะที่ปริมาณการใช้เงินสดยังทรงตัว
สิ่งนี้กำลังสื่อว่า คนไทยปรับตัวกับสิ่งใหม่และชอบความสะดวกสบายจากการทำธุรกรรมดิจิทัล แต่คนไทยก็ยังเชื่อมั่นในเงินกระดาษมากกว่าตัวเลขดิจิทัล ดังนั้นประเทศไทยยังคงจำเป็นต้องมีเงินบาทไปอีกระยะนึง โจทย์สำคัญของธนาคารแห่งประเทศไทยที่น่าจับตาคือ ต้องทำให้คนหันมาทำธุรกรรมดิจิทัลมากขึ้น (เพิ่มสัดส่วนการทำธุรกรรมดิจิทัลต่อเงินกระดาษให้เพิ่มมากขึ้น) ปัจจุบันมีแนวโน้มที่ดี เพราะคนไทยใช้พร้อมเพย์กว่า 2.7ล้านรายการต่อวัน และ43%ของคนไทย ลงทะเบียนพร้อมเพย์แล้ว
ผลประโยชน์ด้านภาษี รัฐจะได้อะไร
รัฐบาลจะทำการ KYC หรือลงทะเบียนตรวจสอบทุกกระเป๋าเงินที่ใช้ระบบของรัฐบาล ว่าเจ้าของคือใคร ได้เงินเท่าไหร่ นำเงินไปทำอะไรบ้าง จ่ายภาษีถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ การทำระบบเงินดิจิทัลของรัฐไม่ได้ส่งผลแค่เรื่องของการติดตามการฟอกเงิน หรือการเสียภาษีเท่านั้น แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือ รัฐเห็นว่าคนคนนึงนำเงินไปใช้ทำอะไรบ้าง และสามารถสร้างแบบจำลองพฤติกรรมได้ว่า คนคนนี้มีวินัยทางการเงินอย่างไร ควรให้เงินกู้เท่าไหร่ นอกจากนี้ยังสามารถคาดการณ์อนาคตของคนคนนั้นจากนิสัยการใช้เงินได้ในระดับนึงด้วย อุปสรรคที่อาจต่อต้านระบบนี้ก็คือ การเรียกร้องถึงความเป็นส่วนตัว รัฐจะทำอย่างไร หากมีคนมาเรียกร้องสิทธิความเป็นส่วนตัวตรงนี้