fbpx

Blocksizewar สงครามการเมืองทียิ่งใหญ่ที่สุดใน Bitcoin

ยาวไปอยากเลือกอ่าน แสดง Blocksize War คั่นฉากการอัพเดทเวอร์ชั่นของ Bitcoin ทำยังไง? Big Block vs Small Block Bitcoin XT Segwit ข้อเสนอผู้จากสนับสนุน Small Block Bitcoin Classic ควันหลงจาก Bitcoin XT The DAO กับการ Chain Split ของ Ethereum Bitcoin Unlimited User Activate Softfork แรงปฏิวัติจากผู้ใช้งาน New York Agreement การรวมตัวกับของเหล่านักขุด U

Blocksizewar สงครามการเมืองทียิ่งใหญ่ที่สุดใน Bitcoin

23 Apr 2024

บทความนี้จะเอามาจากหนังสือ Bitcoin & Blockchain 101 เล่มใหม่ที่ผมเพิ่งขายไปเมื่อเดือนที่แล้วนะครับโดยจะเล่าถึงเหตุการณ์ Blocksizewar ที่เป็นสงครามการเมืองใน Bitcoin ในสมัยช่วง 2014-2017 ยังไงถ้าอ่านแล้วชอบกันฝากสนับสนุนหนังสือด้วยนะครับ

Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!

บทที่ 6 การเมืองใน Bitcoin (Blocksize War)

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าเดียวในอนาคตก็อาจจะมีเหรียญหรือเทคโนโลยีอะไรที่ดีกว่า Bitcoin ออกมากก็ได้แล้วเดียว Bitcoin ก็ตายไป”

 

อันที่จริงๆแล้วตอนแรกผมตั้งใจจะเล่าถึงเรื่องมูลค่าของ Bitcoin ว่ามาได้อย่างไร แต่ส่วนประกอบสำคัญที่ส่งผลต่อมูลค่าและความเชื่อของมันนั้นคือความเป็น Decentralized ของมันที่ไม่อาจหาเหรียญใดๆมาเทียบได้จึงจำเป็นจะต้องอธิบายในส่วนนี้เสียก่อน

ประโยคในข้างต้นเป็นแนวคิดหรือคำพูดที่หลายๆคนอาจจะคิดกันในอดีตจนตวบจนถึงปัจจุบันก็ยังมีคนที่คิดแบบนี้อยู่เช่นการมาของ CBDC จะทำให้ Bitcoin ไร้ค่าไป ซึ่งอันที่จริงแล้วมูลค่าของ Bitcoin นั้นไม่ได้มาจากอรรถประโยชน์หรือการใช้งานเท่าไหร่นัก ในทางกลับกันมีเหรียญจำนวนมากที่สามารถส่งได้เร็วกว่า Bitcoin ประยุกต์ใช้ได้มากมาย แต่ก็ไม่เคยมีเหรียญไหนสามารถชนะมันได้ในเชิงมูลค่า

สาเหตุนั้นมาจากความเป็น Decentralized ของมันเนื่องจาก Bitcoin เกิดขึ้นมาในวันที่ไม่มีใครคิดว่ามันจะประสบความสำเร็จมันจึงค่อยๆเติบโตอย่างไร้เจ้าของ เมื่อเทียบกับเหรียญอื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นมาโดยมีจุดมุ่งหมายจึงมีการระดมทุน มีการเก็บเหรียญให้กับเจ้าของโครงการ หรือการที่เข้าของโครงการมีอิทธิพลต่อเหรียญมาก ทำให้ไม่สามารถมีเหรียญใดขึ้นมาแข่งเรื่องความเป็น Decentralized กับ Bitcoin ได้

 

อย่างไรก็ตามในอดีตนั้นมีคนหรือกลุ่มคนความพยายามหลายครั้งที่จะเข้าควบคุมหรือพยายามสร้างอิทธิพลต่อเครือข่ายหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งแม้ว่าในเวลาที่ผมเขียนหนังสือเล่มนี้เหคุการณ์ดังกล่าวมักจะไม่ค่อยเกิดขึ้นเท่าไหร่หรือเป็นที่พูดถึง แต่มีช่วงหนึ่งที่ในโลกของ Bitcoin นั้นมีการเมืองที่เข้มข้นมากๆในช่วงปี 2015 ไปจนถึงต้นปี 2018 ซึ่งจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามทางการเมืองในวงการ Bitcoin เลยก็ว่าได้ สงครามนี้มีชื่อว่า BlocksizeWar ในบทนี้อาจจะเต็มไปด้วยศัพย์เทคนิค แต่ให้ลองคิดว่าเรากำลังมองเกมการเมืองก็ได้

 

Blocksize War

Blocksize War นั้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นสงครามเชิงแนวคิดในตอนต้นและลามมาเป็นการเมืองและผลประโยชน์ระหว่างกลุ่มนักขุด (Miner) รวมถึงบริษัทต่างๆและกลุ่มผู้ตั้ง Node ทั่วไป โดยในมูลเหตุตั้งต้นคือการแก้ไขปัญหาเรื่อง Scalability หรือความสามารถในการทำธุรกรรมของ Bitcoin ที่ Blocksize ของมันมีขนาดแค่ 1MB ทำให้สามารถรับธุรกรรมได้จำกัดในบางช่วงเราอาจจะเห็นค่าธรรมเนียมธุรกรรมของ Bitcoin สูงได้ถึง 1000-2000 บาทเลยทีเดียว จึงมีการพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงมันเกิดขึ้น

 

คั่นฉากการอัพเดทเวอร์ชั่นของ Bitcoin ทำยังไง?

Bitcoin นั้นเป็น Opensource ที่สามารถให้ใครก็ตามเข้าแก้ไขหรือพัฒนามันอย่างไรก็ได้ เพียงแค่ใครก็ตามส่งข้อเสนอที่เรียก BIP (Bitcoin Improvement Propersal) เพื่อนำเสนอต่อชุมชนของ Bitcoin และโน้มน้าวให้ Node ทั้งหลายยอมรับ BIP ตัวนั้นๆ อย่างไรก็ตาม Node ของเครือข่าย Bitcoin มีสิทธิที่จะอัพเดทหรือไม่อัพเดทตามก็ได้โดยการอัพเดทนั้นจะไปสู่การ Fork หรือการแตกของ Chain โดยการ Fork นั้นแบ่งเป็นสองแบบ

  1. Softfok เป็นการเปลี่ยนแปลง Software โดยที่นั้นสามารถทำงานร่วมกับ Software ก่อนหน้าได้ลองคิดภาพว่าถ้า Blockchain เป็นสมุดบัญชีที่มีอยู่ทั่วโลก Softfork จะเป็นแค่การเปลี่ยนแปลงทางเลือกเช่นสีสมุดอาจจะเปลี่ยนไปอาจจะมีมีแดงสีเหลือง แต่ข้อมูลข้างในหนังสือจะสามารถทำงานร่วมกันได้แม้จะต่างสีกัน
  2. Hardfork คือการเปลี่ยนแปลง Software โดยที่ไม่สามารถทำงานร่วมกับSoftware ก่อนหน้าได้ลองคิดภาพว่าถ้า Blockchain เป็นสมุดบัญชีที่มีอยู่ทั่วโลก Hardfork คือการรื้อโครงสร้างบัญชีด้านในและทำใหม่ ทำให้บัญชีเล่มเก่าๆหากไปเปลี่ยนแปลงตามจะไม่สามารถทำงานร่วมกันได้

 

ปัญหาโดยมากของ Bitcoin หรือไม่ว่าเหรียญไหนก็ตามคือการ Hardfork ที่มีเสียงต่างกันเพราะในกรณีที่เสียงส่วนมากเห็นไปในทางเดียวกันเครือข่ายโดยส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกันโดยที่เสียงส่วนน้อยถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ในทางกลับกันหากเกิดความเห็นที่ไม่ตรงกันโดยมีสัดส่วนที่มีนัยสำคัญเช่น 60:40 สิ่งที่เกิดขึ้นคือความโกลาหลเพราะเท่ากับว่าเราจะมี Blockchain 2 ชุดและเหรียญที่เรามีจะแยกเป็นสองเหรียญซึ่งเราเรียกเหตุการณ์นี้ว่า Chain Split ตัวอย่างเช่นหากเรามี 1 BTC เมื่อเกิดการ Hardfork เป็น BTCA กับ BTCB เราจะมี 1 BTCA และ 1 BTCB อย่างละเหรียญและจะเกิดคำถามว่าเหรียญไหนควรจะเป็นเหรียญที่แท้จริงและมูลค่าจะอยู่ที่ไหน

นอกจากนี้ในความเป็นจริงแล้ว Node แต่ละ Node นั้นมีความแตกต่างกันตรงที่บางครั้งเจ้าของ Node อาจจะทำธุรกิจหรือมีชื่อเสียงในวงการทำให้บางครั้งการนำเสนอและการรับ Software Upgrade นั้นมีการเล่นการเมืองอยู่พอสมควร

 

Big Block vs Small Block

ในช่วงของ Blocksize War นั้นจะมีความพยายามในการเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้ง แต่โดยรวมแล้วในทุกครั้งคือการ Debate กันระหว่างการเพิ่มขนาด Block ของ Bitcoin ให้ใหญ่ขึ้นกับการหาทางเพิ่มความสามารถในการทำธุรกรรมของ Bitcoin (Scalabitlity) โดยทั้งสองฝ่ายมีความเห็นดังนี้

 

ฝั่งที่อยากให้ขยายขนาด Block

  • การขยายขนาดของ Block จะทำให้ Bitcoin รองรับธุรกรรมได้มากขึ้นและกลายเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับ Peer-to-peer Electronic cash มากขึ้น
  • ค่าธรรมเนียมจะถูกลงและเพิ่มความเร็วในการทำธุรกรรม

ฝั่งที่ไม่เห็นด้วยกับการขยาย Block

  • การขยาย Block จะนำไปสู่การ Hardfork ซึ่งมีความเสี่ยงทั้งในเชิงเทคนิค มูลค่า และสถานภาพอันเป็นกลางของ Bitcoin
  • Bitcoin ควรมีวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในการรองรับธุรกรรม (Scalability) วิธีอื่นที่ไม่ใช่การขยาย Block เพราะหากวันนึง Block ที่ขยายไปไม่เพียงพอก็จะต้องขยายเพิ่มอีก
  • การขยายขนาด Block จะทำให้คอมพิวเตอร์ที่เป็น node ของ Bitcoin นั้นต้องมีประสิทธิภาพและพื้นที่จัดเก็บที่แพงขึ้นทำให้ห่างจากปรัชญาความเป็น Decentralized

Bitcoin XT

Bitcoin XT เป็น Client ตัวแรกที่พยายามทำการ Hardfork ในปี 2015 โดยนำเสนอให้ Bitcoin นั้นมีการเพิ่มขนาด Block เป็น 8mb และเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุกๆสองปี ซึ่งนำโดย Gavin Andresen ซึ่งตัว Gavin นั้นเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากในขณะนั้นเพราะเป็นเพราะเป็นหัวหน้าพัฒนา Software Bitcoin Core ตั้งแต่ปี 2012

Bitcoin XT นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของคำถามที่ว่าใครหรือคนกลุ่มใดควรจะมีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายของ Bitcoin กันแน่โดย Gavin ได้เขียน BIP101 ขึ้นมาโดยมีเงื่อนไขว่า Bitcoin XT จะเปิดใช้งานก็ต่อเมื่อนักขุดลงความเห็นว่าเห็นด้วยโดยการใส่ข้อความลงไปใน Block ที่ขุดได้ 750 บล็อคจาก 1000 บล็อคในช่วงใดก็ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการบ่งบอกว่ากลุ่มนักขุดเท่านั้นที่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลง Protocol ของ Bitcoin

นอกจากนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการควบคุม Bitcoin ของตัว Gavin เองด้วยโดยในเดือนเมษายน 2015 Gavin ได้พูดไว้ถึงความเห็นของเขาใน QA Session ว่า


“I may just have to throw my weight around and say, this is the way it’s going to be, and if you don’t like it, find another project”


ซึ่งมีความหมายว่าหากใครไม่เห็นด้วยกับเขาก็ให้ไปสนับสนุนโครงการอื่นซะนอกจากนี้ในปลายเดือนพฤษภาคมในปีเดียวกัน Gavin ส่งอีเมล์โดยมีใจความว่าถ้าหาข้อสรุปไม่ได้เขาจะเปิดใช้งาน Bitcoin XT และพัฒนามันเองเลยจะได้ไม่ต้องหาข้อสรุปผ่านการโต้แย้ง หลังจากนั้นเขาจะไปล็อบบี้ร้านค้า Exchange และผู้ให้บริการ Wallet ให้เปลี่ยนมาใช้ Bitcoin XT แทนที่จะเป็น Bitcoin ดั้งเดิม

แน่นอนว่ามีเสียงจากผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับ Bitcoin XR ในวันที่ 17 สิงหาคม 2015 ซึ่งเป็นเวลา 2 วันก่อนที่ Bitcoin XT จะถูกนำเสนอให้มีการโหวตใน Reddit ห้อง r/Bitcoin ซึ่งถูกควบคุมโดย Michael Marquardt ซึ่งเป็นผู้ควบคุมฟอรั่ม BitcoinTalk เช่นกันได้มีการประกาศกฎระเบียบใหม่ของ Moderator โดย Michael โดยมีใจความว่าการสนับสนุน Software ใดๆที่ทำให้ Bitcoin เกิดการแตกแยกไปจากรูปแบบดั้งเดิมและเบี่ยงเบนไปสู่เครือข่าย/สกุลเงินที่แข่งขันกันนั้นเป็นสิ่งที่ขัดต่อกฎระเบียบของห้อง

ในทางกลับกันมันก็ได้ได้รับการตอบรับที่ค่อนข้างดีในเดือนสิงหาคมมีจดหมาย BIP101 เผยแพร่ออกมาโดยที่เซ็นต์โดย CEO ของ BitPay, Blockchain.info, Circle, Kncminer, itBit, Bitnet, Xapo และ BitGo ออกมาถึงการที่พวกเขาสนับสนุน Bitcoin XT

ซึ่งสุดท้ายแล้วตัว Bitcoin XT นี้ก็ไม่ได้รับการยอมรับแม้จะความพยายามที่จะทำข้อตกลงหรือโน้มน้าวกลุ่มนักขุด ในการประชุม Scaling II ในเดือนธันวาคม 2015 มีนักขุดที่เห็นด้วยกับการขยาย Block แต่ปัญหาสำคัญที่นักขุดส่วนใหญ่กังวลปัญหาทางเทคนิคที่อาจจะเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้ยังมีการเสนอ BIP100 ที่นักขุดให้ความสนใจมากกว่าโดยมีเนื้อหาว่านักขุดจะสามารถปรับขนาดของ Block ที่ควรจะเป็นได้ผ่านการโหวต อย่างไรก็ตามในการประชุมครั้งนี้นักขุดส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่ามีแต่พวกเขาเท่านั้นที่สามารถลงความเห็นในการเปลี่ยนแปลง Bitcoin ได้

 

Segwit ข้อเสนอผู้จากสนับสนุน Small Block

Segwit นั้นเป็นการอัพเกรดแบบ Softfork ที่ถูกนำเสนอโดย Pieter Wuille ในการประชุม Scaling Bitcoin ที่เมืองฮ่องกงในเดือนธันวาคม 2015 ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อเสนอที่จะทำให้ Bitcoin สามารถทำธุรกรรมได้เร็วขึ้นเท่าตัว

ที่มา https://userguide.dcentwallet.com/cryptocurrency-basic/segwit

โดยการทำงานของ Segwit คือในโปรโตคอลดั้งเดิมของ Bitcoin จะมีข้อมูลลายเซ็นที่เรียกว่า Witness data ข้อมูลที่ใช้ยืนยันที่มาของธุรกรรมอยู่ในส่วนเดียวกับข้อมูลของธุรกรรมที่เรียกว่า Transaction Data โดย Segwit จะนำส่วนของ Witness Data นี้ออกไปจาก Transaction Data เอาไปไว้ในส่วนของ Block Extension และเปลี่ยนวิธีการคำนวนค่าธรรมเนียมจาก Data ใหม่

ผลที่ได้คือธุรกรรมจะสามารถจุได้เพิ่มจากเดิมประมาณ 4 เท่านอกจากนี้ข้อเสนอนี้ยังเป็นการ Softfork ที่ Node ที่ไม่ได้เห็นด้วยก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายอีกด้วยจึงสามารถหลีกเลี่ยงเหตุการณ์ Chain Split ได้

อย่างไรก็ตาม Segwit ยังเป็นเรื่องใหม่และยังเข้าใจค่อนข้างยากเมื่อเทียบกับการขยายขนาด Block นอกจากนี้กว่า Segwit จะพัฒนาและถูกส่งมานำเสนอคือในเดือนพฤศจิกายน 2016 นอกจากนี้จะต้องมีสัญญาณสนับสนุนมันจากนักขุดมากถึง 95% ภายใน 2016 Block ซึ่งสุดท้ายแล้ว Segwit ก็ถูกนำมาใช้งานจริงๆในวันที่ 24 สิงหาคม 2017 แต่กว่าจะไปถึงเหตุการณ์นั้นได้มันต้องผ่านอะไรมามากมายที่เราจะเล่าในส่วนถัดไป

 


Bitcoin Classic ควันหลงจาก Bitcoin XT

ในเดือนมกราคม 2016 Brian Armstrong CEO ของ Coinbase ซึ่งเป็น Exchange ในอเมริกาได้แสดงท่าทีอย่างชัดเจนในการขยายขนาด Block โดยกล่าวว่า Bitcoin XT นั้นเป็นความคิดที่ดีและยังสนับสนุนนักขุดในกระบวนการโหวตเพื่อเปลี่ยนแปลง Protocol ซึ่งเป็นเวลาไม่นานนัก Coinbase Wallet ก็ได้ถูกลบออกจาก Wallet แนะนำบน Bitcoin.org

หลังจากนั้นไม่นาน Mike Hearn ผู้สนับสนุนหลักของ Bitcoin XT (และเป็น Bitcoin Developer ตั้งแต่ปี 2010) ได้ออกมาบอกว่า Bitcoin นั้นเป็นการทดลองที่ล้มเหลวเนื่องจากมาองว่าการตอบโต้ CEO Coinbase นั้นเป็นเรื่องที่บ้าคลั้งของคอมมูนิตี้

อย่างไรก็ตามมันเป็นเหมือนเหตุการณ์ที่ตอกตะปูโลง Bitcoin XT ไปโดยสิ้นเชิง Bitcoin Classic จึงได้ถูกนำเสนอขึ้นโดยเป็น Hardfork ที่นำเสนอโดย Gavin (อีกครั้ง) โดยเปลี่ยนจากการขยาย Block เหลือเพียง 2MB ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการสนับสนุนจากนักขุดจำนวนมากเนื่องจากส่วนใหญ่พวกเขาอยากให้ขยายขนาด Block แต่มองว่า 8MB ใน Bitcoin XT นั้นใหญ่เกินไปจนอาจจะมีความเสี่ยง และบริษัทใหญ่อย่าง Bitmain หรือ Coinbase ก็ให้การสนับสนุน

 

หนึ่งในสิ่งที่น่าสนใจคือเงื่อนไขในการ Activate ทั้ง Bitcoin XT และ Bitcoin Classic ต้องให้ Miner ทำการส่ง Signal 75% ใน 1000 Block ในขณะที่ตัวอัพเกรด BIP อื่นๆอย่าง Segwit รวมถึง BIP ที่เคยพัฒนาลงไปใน Bitcoin ก่อนหน้านี้ต่างต้องใช้เสียง 95% จาก 2016 Block โดยนักขุดมองว่าการจะได้เสียง 95% นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ท้้งๆที่ผ่านมาการอัพเกรด Softfork ก็สามารถได้เสียงถึง 95%

นั้นทำให้ข้อพิพาทย์ดูจะรุนแรงขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ 2016 ได้มีการประชุมเพื่อหาข้อตกลงระหว่างกลุ่มนักขุดและกลุ่ม Bitcoin Core ที่เป็นทีมพัฒนา Bitcoin ดั้งเดิมในการประชุมนั้น Jihan Wu ผู้ก่อตั้ง Bitmain แสดงท่าทีอย่างชัดเจนว่ากลุ่มนักขุดต้องการ Hardfork เป็น 2mb ไม่ใช่ Segwit ถ้าทีม Bitcoin Core ยังอยากเป็นส่วนนึงกับ Bitcoin ก็ต้องเข้าร่วมเท่านั้น

ซึ่งข้อตกลงที่ได้หลังจากการประชุมนี้เป็นอะไรที่กำกวมมากโดยระบุว่า “ทีม Bitcoin Core จะร่วมกันพัฒนาและเปิดใช้งาน Segwit ที่เข้ากันได้กับ Hardfork ในอนาคต” ซึ่งข้อตกลงนี้ไม่ได้มีการระบุว่าจะมีการ Hardfork ในอนาคตหรือไม่และไม่ได้บอกว่าจะมีการขยายขนาด Block ที่เหมือน Bitcoin Classic หรือไม่ ซึ่งบางทีแล้วข้อตกลงนี้ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย

ซึ่งแน่นอนว่าในตอนจบแล้ว Bitcoin Classic ก็หยุดพัฒนาหลังจากที่เครือข่าย Bitcoin หันไปเลือก Segwit แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นได้ก็ยังมีข้อพิพาทย์เป็นระยะๆ

 

The DAO กับการ Chain Split ของ Ethereum

Ethereum นั้นเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินดิจิทัลที่มีจุดประสงค์ที่แตกต่างจาก Bitcoin โดยตั้งตัวว่าจะเป็น Blockchain Platform ที่ใครก็สามารถสร้าง Application มาทำงานได้ซึ่งระดมทุนได้เงินไปกว่า 18 ล้านดอลลาร์ในเดือนกรกฏาคมปี 2014 และเปิดตัวในเดือนกรกฎาคมปี 2015 

โดยได้มีโครงการที่ชื่อว่า TheDao ที่เป็นลักษณะคล้ายกองทุนที่ทำงานผ่าน Smart Contract ของ Ethereum โดยระดมทุนไปได้กว่า 150 ล้านดอลลาร์อย่างไรก็ตามในเดือนมิถุนายน 2016 ได้มี Hacker พบช่องโหว่ในโครงการนี้ทำให้ TheDao ถูกขโมยเงินไปกว่า 53 ล้านดอลลาร์

เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดข้อพิพาทย์ใน Ethereum โดยส่วนหนึ่งต้องการนำเงินกลับคืนมาผ่านการ Hardfork ส่วนอีกกลุ่มนึงมองว่าการ Hardfork นั้นเป็นการละเมิดสิ่งที่ Blockchain ควรจะเป็น ซึ่งเหตุการณ์นี้ก็จบลงด้วยการแยกเชนอย่าง Chain Spilt

https://dailycoin.com/differences-between-blockchain-hard-forks-and-soft-forks/

โดยเสียงส่วนน้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการ Hardfork ได้ตั้งตนเป็น Ethereum Classic ส่วน Chain ที่ Hardfork โดยนำเงินกลับมานั้นใช้ขื่อ Ethereum ดังเดิม ซึ่งการแตกเป็นสองเหรียญทำให้เกิดความผันผวนมาก เพราะเกิดความสับสนว่ามูลค่าควรจุอยู๋ที่เหรียญใด ที่น่าสนใจคือ Ethererum Classic ที่เป็นเสียงส่วนน้อยที่น่าจะหายไปกลับมีการสนับสนุนทำให้มันมีมูลค่าขึ้นมาจริงๆได้

เหตุการณ์นี้ได้เตือนสติคอมมูนิตี้ของ Bitcoin ที่กำลังมีข้อพิพาทย์ถึงความเสี่ยงของ ChainSplit ส่งผลให้กระแสนักขุดเริ่มเอนออกจากการ Hardfork แม้แต่ Jihan Wu เองก็มีท่าทีอ่อนลงอย่างเห็นได้ชัดโดยมีท่าทีให้ทั้งสองฝั่งประณีประนอม

 

Bitcoin Unlimited

Bitcoin Unlimited ถูกนำเสนอในปลายปี 2015 โดย Rojer ver เจ้าของฉายา Bitcon Jesus ซึ่งเป็นคนแรกๆที่ลงทุนใน Start Up ที่เกี่ยวข้องกับ Bitcoin ใน Silicon Valley โดยตัวของ Bitcoin Unlimited ได้นำเสนอวิธีการขยาย Block โดยให้นักขุดเป็นผู้ตัดสินใจว่าขนาด Block ควรจะเป็นที่เท่าไหร่แทนที่จะขยายแบบคงที่

Bitcoin Unlimited นั้นได้รับความสนใจพอสมควรต่อผู้ที่มีความคิดในเชิงเดียวกันอย่างนักขุดหรือบริษัทใหญ่ๆและแน่นอนว่า Jihan Wu และ Gavin ก็สนับสนุนเช่นกันหลังจากที่ Bitcoin Classic ดูเหมือนจะล้มเหลวในการได้รับความสนใจในช่วงกลางปี 2016

ซึ่ง Bitcoin Unlimited นั้นมีวิธีการนำเสนอที่ต่างออกไปแทนที่จะมีการโหวตผ่าน Activation Medthod โดยการให้นักขุดส่ง Signal เหมือนกับ Bitcoin XT,Bitcoin Classic ทาง Bitcoin Unlimited กลับเลือกที่จะไม่มีกระบวนการ Activate การเปิดใช้งาน Bitcoin Unlimited จึงขึ้นอยู่กับการยอมรับและคอมมูนิตี้โดยตรงว่ามีใครจะใช้ Client ของ Bitcoin Unlimited มากแค่ไหนซึ่งถึามากพอก็จะนำไปสู่การ Activation

Rojer Ver ได้พยายามอย่างมากในการโปรโมท Bitcoin Unlimited ต่อนักขุดและคนที่เกี่ยวข้องในวงการแทนที่จะไปมุ่งเน้นที่บุคคลภายนอก อย่างไรก็ตาม Bitcoin Unlimited นั้นกลับล้มเหลวจากปัญหาทางเทคนิคโดยในเดือนมีนาคม 2017 Node ของ Bitcoin unlimited นั้นถูกโจมตีแบบ DDos ส่งผลให้ Node ล่ม แม้จะไม่รู้ตัวตรว่าใครเป็นคนโจมตีก็ตาม  แต่ผู้ที่ไม่สนับสนุนการขยายขนาด Block ก็ตีข่าวนี้ให้กับสื่อกระแสหลักและคนทั่วไปที่ยังไม่ค่ออยเข้าใจ Bitcoin และก่อให้เกิดคำถามมากมาย ซึ่งนั้นทำให้ความสนใจใน Bitcoin Unlimited จางหายไป

เหตุการณ์ส่งผลต่อความร้อนระอุของข้อพิพาทย์ในเดือนเดียวกัน Jihan Wu และ Gavin ได้ออกมานำเสนอถึงไอเดียในการโจมตี Bitcoin ดั้งเดิมด้วยขุด Block เปล่าๆออกมาทำให้ธุรกรรมใน Bitcoin หลักล่าช้าและมีค่าธรรมเนียมแพงขึ้น ซึ่งก็มีข่าวลือออกมาว่ามีการเตรียมงบประมาณ $100 ล้านในการโจมตีเครือข่าย Bitcoin นอกจากนี้ในเวลานั้นก็เป็นเรื่องแน่ชัดแล้วว่ากลุ่มนักขุดจะไม่สนับสนุน Segwit ตามข้อตกลงที่พวกเค้าเคยทำไว้ในเดือนกุมภาพันย์ปี 2016

 

User Activate Softfork แรงปฏิวัติจากผู้ใช้งาน

Segwit นั้นได้พัฒนาแล้วเสร็จในเดือนพฤศจิกายน 2016 แต่แน่นอนว่ามันยังไม่มีการนำไปใช้งานหรือตอบสนองใดๆเนื่องการกรณีข้อพิพาทย์ก่อนหน้านี้ และนั้นไปสู่การกดดันกลุ่มนักขุดโดนผู้ใช้งานที่ชื่อว่า Shaolinfry ได้กล่าวถึงความผิดเพี้ยนที่นักขุดเป็นคนกลุ่มเดียวที่มีอำนาจในการตัดสินใจเปลี่ยนแปลง Bitcoin และนำเสนอแนวคิดของ User Activate Softfork (UASF) ลงใน BIP148 ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2017

เนื้อหาใน BIP148 คือการที่ Node ที่เปิดใช้งานจะปฎิเสธ Block ที่ไม่ได้มีการใช้ Segwit โดยกำหนดให้วันที่ 1 สิงหาคม 2017 เป็นวัน Activation ซึ่งสิ่งนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนเลยก็ว่าได้เพราะดั้งเดิมแล้วการโหวตเพื่อเปลี่ยนแปลง Bitcoin ทั้งหมดที่ผ่านมาจะเกิดจากนักขุด แต่การกระทำนี้เป็นการแรงกดดันอย่างเห็นได้ชัด

แน่นอนว่าฝั่งที่ไม่สนับสนุนการขยายขนาด Block ย่อมเห็นด้วยกับ BIP148 นี้ส่วนนักขุดก็ไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะตัว Jihan Wu แต่ไม่ว่าจะฝ่ายไหนก็ตอนทั้งสองฝ่ายก็มีข้อกังวลเกี่ยวกับว่าการกระทำแบบนี้อาจจะทำให้ Bitcoin พุ่งเข้าสู่เหตุการณ์ Chainsplit

หลังจากนั้นในเดือนเมษายนนักพัฒนา Bitcoin คนหนึ่งที่ชื่อว่า Gregory Maxwell ได้เปิดเผยข้อมูลของเทคโนโลยี ASICBOOT ที่ Bitmain ครอบครองโดยเทคโนโลยีนี้จะทำให้เครื่องขุดของ Bitmain สามารถขุดได้เร็วขึ้นถึง 20% แต่ด้วยตัวอัพเกรด Segwit จะทำ ASICBOOT ไม่สามารถใช้ได้ แม้ในภายหลังทาง Jihan Wu จะออกมากล่าวว่า Bitmain จะไม่ใช้ ASICBOOT บน Bitcoin ก็ตามแต่มันก็ทำให้เกิดข้อพิพาทย์ว่าที่นักขุดไม่ยอมรับ Segwit เพราะมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง

ในหนังสือ Blocksize War ที่เขียนโดย Jonathan Bier ได้กล่าวถึงการสนทนาระหว่างตัว Jonathan กับผู้สนับสนุนหลักของ UASF ถึง BIP148 โดย Jonathan ได้กล่าวว่า BIP นี้มีความเสี่ยงมาก แต่ทางผู้สนับสนุนได้ให้เหตุผลว่า ในสถานการณ์ปกติอาจจะใช่ แต่ตอนนี้เราอยู่ในภาวะสงครามเนื่องจากกลุ่มนักขุดพยายามจะควบคุม Bitcoin ด้วย ASICBoot และการเสนอ BIP148 นี้เป็นเพียงการกดดันเท่านั้นเพราะถ้ามีนักขุดจำนวนมากที่เปิดใช้งาน Segwit ก่อนวัน Activation ดังนั้นแล้ว BIP148 ก็จะไม่ต้องถูกใช้งาน

ซึ่งในพฤษภาคม 2017 เดียวกัน Litecoin ซึ่งเป็นเหรียญที่มีคุณลักษณะคล้าย Bitcoin ได้ทำการเปิดใช้งาน Segwit (ด้วยการถูกข่มขู่จาก UASF เช่นเดียวกัน) และประสบผลสำเร็จด้วยดีทำให้ราคา Litecoin พุ่งขึ้นและทำให้แรงกดดันที่มีต่อนักขุดของ Bitcoin เพิ่มมากขึ้น

 

New York Agreement การรวมตัวกับของเหล่านักขุด

BIP148 ที่ออกมานั้นเป็นการอารยขัดขืนรูปแบบหนึ่งก็ว่าได้ เพราะมันเป็นสัญญาณให้แก่นักขุดว่า “พวกเราจะไม่ฟังคุณอีกต่อไปแล้วนะ” นั้นทำให้เกิดการรวมตัวกับของกลุ่มนักขุดและบริษัทที่เกี่ยวข้องจำนวนมากใน New York เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2017 โดยหัวข้อคือการแก้ไขปัญหาเรื่อง Block ของ Bitcoin ที่เริ่มมีปัญหาเรื่องความเร็วในการทำธุรกรรม

ในตอนจบแล้วข้อตกลงที่ได้คือ Proposal ที่เรียกว่า Segwit2X โดยนักขุดจะส่งสัญญาณยอมรับ Segwit และขยายขนาด Block เป็น 2MB ในอีกหกเดือน ซึ่งข่อเสนอนี้ถูกบรรจุลงใน BIP91 มีหลายคนที่ไม่ค่อยพอใจในข้อตกลงนี้โดยเฉพาะ Rojer Ver 

ซึ่งสุดท้าย BIP91 ก็เปิดใช้งานสำเร็จซึ่งเป็นเวลาที่กระชั้นมากมีนักขุดส่งสัญญาณยอมรับ Segwit ถึง 80% ภายในวันที่ 27 กรกฏาคมห่างจากวัน Activation Day ของ Bip148 เพียงไม่กี่วันนอกจากนี้ยังกำหนดให้การลงคะแนนมาจาก 269 บล็อกจากทั้งหมด 336 บล็อกซึ่งนับว่าน้อยมาก ทาง Jihan Wu เองก็เปลี่ยนใจกลับมาสนับสนุน Segwit แทบจะวินาทีสุดท้าย

ซึ่งนี่เรียกได้ว่าอาจจะเป็นชัยชนะของฝั่ง User ก็ว่าได้เพราะไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามอนาคตของ Segwit ก็ค่อนข้างจะแน่นอน แม้จะมีการโหวตจากนักขุดในภายหลังแต่ก็แสดงให้เห็นถึงพลังของ User ที่สามารถมีอิทธิพลต่อเครือข่ายได้

 


User Activate Hardfork และ Bitcoin Cash

ในช่วงที่มีการเปิดตัวของ UASF นั้นสร้างความไม่พอใจต่อกลุ่มนักขุดโดยเฉพาะ Jihan Wu เป็นอย่างมากซึ่งหนึ่งในแผนที่ Jihan Wu พยายามนำเสนอคือ User Activate Hardfork (UAHF) โดยให้เป็นการที่ Bitmain จะขุดเหรียญ Hardfork ออกไปโดยไม่ได้มีกระบวนการลงความเห็นใดๆ ซึ่งในตั้งต้นเป็นแผนสำรองในกรณีที่ UASF นำไปสู่การแยกเชนในเครือข่าย Bitcoin 

แน่นอนว่าสุดท้าย UASF ก็ไม่ได้ทำให้เกิด Chain Split แต่ข้อเสนอของ UAHF นี้ก็ถูกดำเนินต่อไปโดยมันกลายมาเป็นโครงการ Bitcoin ABC ถึงถูกเสนอในวันที่ 12 กรกฎาคม 2017 ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น Bitcoin Cash ในภายหลัง (มีนิคเนมอันโด่งดังว่า Bcash)

โดย BCash นี้จะไม่มี Segwit และมีขนาดของ Block อยู่ที่ 8 Mb (ในภายหลังเพิ่มขึ้นเป็น 32Mb) โดยมันเริ่มทำการแยกเชนออกจาก Bitcoin ในวันที่ 1 สิงหาคม 2017 อย่างไรก็ตามเนื่องจากมันเป็นการแยกเชนโดยไม่ได้ลงความเห็นใดๆทำให้แรงขุดของมันมีน้อยมากค่า Difficulty ของเครือข่ายเดิมนั้นยังสูงอยู่ โดยเปลี่ยนค่า Difficulty นั้นต้องใช้เวลา ทำให้ต้องใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมงถึงจะขุดได้ในตอนนั้นถ้าใครถือ Bitcoin อยู่ 1 BTC ก็จะได้เหรียญ Bcash ไปอีก 1 เหรียญทันที

ในวันที่ผมกำลังเขียนหนังสือเล่มนี้อาจจะเรียกได้ว่า Bitcoin Cash นั้นหมดโอกาสที่จะมาแทนที่ Bitcoin โดยสิ้นเชิงแล้วก็ว่าได้แต่ในปี 2017 มันทำผลงานในแง่ของราคาค่อนข้างดีโดยมันเคยมีราคาถึง 3000$ ต่อเหรียญและเคยเป็นเหรียญ Top 5 ในตลาด Cryptocurrency

Rojer ver และ Jihan Wu นั้นเป็นผู้สนับสนุนหลักของ Bitcoin Cash ซึ่งได้พยายามอย่างมากในการโปรโมท Bitcoin Cash โดย Rojer ถึงกับได้เปลี่ยนชื่อของ Bitcoin ทั้งหมดในโดเมน Bitcoin.com ที่เขาเป็นเจ้าของให้กลายเป็น Bitcoin Cash และพยายามให้เกิดการยอมรับ Bitcoin Cash ซึ่งหลายๆ Exchange นั้นก็ได้ลิสเหรียญ Bitcoin Cash ขึ้นไปบนกระดานแต่ไม่เคยได้เอามันไปแทนที่ Bitcoin เลย

หลายฝ่ายมองว่าการแยกตัวออกมาของ Bitcoin Cash นั้นเป็นการละเมิดข้อตกลง NYA ที่ทำไว้ แม้แต่นักขุดบางกลุ่มก็ยังมองว่า Bitcoin Cash นั้นเป็นภัยในภายหลัง

 

Segwit2x ตอนจบของสงคราม

หลังจากที่ Segwit ได้ Activate ตามมาด้วยการเปิดตัวของ Bitcoin cash แล้วก็ยังมีความพยายามจะดำเนินการตามข้อตกลงของ NYA ที่พยายามจะขยายขนาด Block เป็นสองเท่าต่อ อย่างไรก็ตามมันกลับไม่ได้รับการสนับสนุนโดยเริ่มมีองค์กรที่ลงนามใน NYA ถอนตัวไปเช่น Bitwala,F2Pool,Vaultoro,surBTC โดยบางส่วนก็มองว่าข้อตกลงใน NYA ถูกละเมิดจากการสร้าง Bitcoin Cash หรือบางส่วนก็หันไปสนับสนุน Bitcoin Cash เต็มตัว

สุดท้ายแล้วจึงมีอีเมล์เปิดผนึกที่ลงชื่อโดย Mike Belshe, Wences Casares, Jihan Wu, Jeff Garzik, Peter Smith และ Erik Voorhees ที่ประกาศยกเลิกการพัฒนา Segwit2X และ Segwit2X จึงไม่ถูกเปิดใช้งานเป็นการปิดประตูแนวคิดการของการขยายขนาด Block ใน Bitcoin ไป

BCash ทำผลงานได้ดีในช่วงต้นแต่ในภายหลังเกิดการขัดแย้งกันภายในกับ Craig Wright (นิคเนม Faketoshi) ส่งผลให้ Bcash เกิดการ Hardfork ออกมาเป็น Bitcoin SV และหลังจากนั้น Jihan Wu ก็ลงจากตำแหน่ง CEO ซึ่งแม้ไม่มีการระบุแน่ชัดแต่ก็มีข่าวลือว่ามูลเหตเกิดจากการที่ Jihan สนับสนุนและลงทุนใน Bitcoin Cash

 

และก็เป็นอันจบไปกับสงคราม Blocksize War ถ้าใครอยากอ่านเรื่องราวที่เกิดขึ้นแบบละเอียดแนะนำให้ลองไปอ่านหนังสือที่ชื่อว่า “Blocksize War” ที่เขียนโดย Jonathan Bier ได้ (อาจจะมีฉบับแปลในอนาคต)

เรื่องราวทั้งหมดทั้งมวลนั้นเป็นการตอบคำถามถึงความมั่นคงและการไร้ตัวกลางในของ Bitcoin มันผ่านเรื่องราวมากมายรวมถึงความพยายามที่จะเข้าควบคุมมัน ซึ่งเป็นเหตุผลว่าไม่มีเหรียญไหนที่สร้างขึ้นในปัขขุบันหรือนาคตที่มีคุณสมบัตินี้ได้ และมันยังตอบคำถามที่ว่า “จะเกิดอะไรขึ้นถ้า Satoshi กลับมา” ได้อีกด้วย

 

Article
, ,
Writer

Maybe You Like