ระบบ Blockchain เป็นระบบที่ถูกเรียกว่าไร้ตัวกลางซึ่งคำว่า “ไร้ตัวกลางนี้” อาจจะสร้างความสงสัยว่าอะไรคือการไร้ตัวกลางๆ จริงคำว่าไร้ตัวกลางนี้เป็นแค่คำเปรียบเปรยเท่านั้น เพราะจริงๆแล้วระบบของ Blockchain คือการทำงานอยู่บนคอมพิวเตอร์หลายๆเครื่องที่เรียกว่า Node เป็นเครือข่าย โดยแต่ละ Node นั้นทำงานเป็นอิสระที่สามารถเข้าออกระบบได้ตามใจชอบและนั้นเท่ากับว่าในระบบนี้ไม่มีผู้ใดก็ตามที่มีอำนาจขาดที่จะเปลี่ยนแปลงระบบ การเปลี่ยนแปลงแต่ละครั้งนั้น Node ทุกคนหรือส่วนใหญ่ในระบบควรจะเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงนั้น แต่แน่นอนเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีความคิดเห็นแตกต่างแล้วใครหละจะเป็นผู้ที่โน้มน้าวผู้อื่นได้ ผมจะมาเล่าให้ฟังผ่าน Blockchain ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดอย่าง ฺBitcoin
Thank you for reading this post, don't forget to subscribe!
Bitcoin Empire
ก่อนอื่นผมอยากให้จินตนาการว่า Bitcoin ก็ไม่ต่างอะไรกับประเทศๆหนึ่งในปี 2009 ที่มันเริ่มก่อตั้งขึ้นมามันก็เป็นเพียงประเทศเล็กๆที่ไม่มีใครสนใจจะทำอะไร แต่พอเวลาผ่านไปก็เริ่มมีผู้เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศนี้และเริ่มมีคนที่มีบทบาทและมีอิทธิพลที่แตกต่างกันไปในประเทศของ Bitcoin
Satoshi
ตัวละครแรกที่มีบทบาทนั้นว่าคือผู้สร้าง Bitcoin หรือ Satoshi Nakamoto เหตุผลที่ผมเรียกเขาว่าศาสดาเพราะเขาเป็นเพียงผู้ชีนำเท่านั้นไม่ใช่ราชาSatoshi มีหน้าที่เพียงแค่ชักชวนหรือชี้นำผู้อื่นให้เห็นถึงคุณสมบัติของ Bitcoin รวมถึงเป็นนักขุดและนักพัฒนาของระบบ Bitcoin ในยุคแรกๆด้วย แต่อย่างไรก็ตามในความเป็นจริง Satoshi ไม่อาจเปลี่ยนแปลงประเทศได้ หากไม่สามารถชี้นำผู้อื่นและไม่สามารถบังคับให้ใครทำตามได้หากคนๆนั้นไม่ยินยอม
นักขุด
ตัวละครคนถัดไปคือนักขุดหรือกลุ่มนักขุด ซึ่งนักขุดมีความสำคัญแก่ระบบ Bitcoin มากเรียกได้ว่าแทบจะเป็นกระดูกสันหลังของ Bitcoin เพราะกำลังไปที่นักขุดทำการขุด Bitcoin เป็นสิ่งที่ช่วยรักษาความปลอดภัยของ Bitcoin เป็นส่วนที่ทำให้ Bitcoin มีมูลค่า และยังทำให้ระบบของ Bitcoin เกิดการยืนยันธุรกรรมจากการเป็นผู้สร้าง Block อีกด้วย และโดยปกติแล้วนักขุดก็ยังทำหน้าที่เป็น Node ในการเก็บข้อมูลสำเนาของ Bitcoin อีกด้วย กลุ่มนักขุดที่มีชื่อเสียงได้แก่ Antpool F2Pool
นักพัฒนา
ตัวละครคนถัดไปคือนักพัฒนาหรือ Developer ซึ่งนักพัฒนานี้เปรียบเสมือนนักการเมืองที่คอยพัฒนาสิ่งต่างๆลงไปบน Bitcoin บ้างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่าง แต่หน้าที่หลักของนักพัฒนาคือการพูดคุยถึงแผนพัฒนาของ Bitcoin แม้นักพัฒนาจะไม่ใช่ผู้ที่ทำหน้าที่ใดๆในระบบ แต่ความเห็นของพัฒนาก็มีผลต่อการพัฒนา Bitcoin เสมอๆ และกลุ่มพัฒนาที่มีชื่อเสียงได้แก่ ทีมงานของ Bitcoin Core ที่พัฒนา Bitcoin มาตั้งแต่ต้น
ตลาดแลกเปลี่ยน
ตลาดแลกเปลี่ยนหรือที่เรารู้จักกันในนามของ Exchange เปรียบเสมือนผู้ที่ทำธุรกิจที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่ดี โดยปกติไม่ว่าจะ Wallet หรือ Exchange จะเป็นผู้ที่เปิด Node เสมอๆเนื่องจากต้องการข้อมูลที่ถูกต้องที่สุดบน Blockchain ซึ่งในอดีตนั้นผู้ที่เป็นเจ้าของ Exchange อาจจะไม่ได้มีอิทธิพลเท่าไหร่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปก็เกิดกรณีที่รับฟังความเห็นของเจ้าของ Exchange ในกรณี UASF ที่เราจะกล่าวภายหลัง ตัวอย่าง Exchange ที่มีชื่อเสียงได้แก่ Binance, Huabi, Okex, Bithumb
Node (People)
โดยปกติแล้วใครๆก็สามารถเปิด Node ของ Bitcoin ได้อย่างอิสระเพียงแค่ Download software ของ Bitcoin ลงมาใช้งาน สิ่งที่ Node ทำคือการทำหน้าที่เป็นเก็บข้อมูลบัญชีของ Blockchain และคอยส่งธุรกรรมรวมถึงการทำงานอื่นๆของระบบ Bitcoin การเป็น Node นั้นเป็นการบอกถึงการเป็นส่วนหนึ่งเป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งใน Bitcoin ที่จะทำให้ระบบ Bitcoin มีความน่าเชื่อถือนั้นเอง
ยุคของ Satoshi
หลังจากเราเล่าถึงตัวละครทั้งหมดไปแล้วเราจะมาเล่าคร่าวๆกันว่าในเวลาที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงระบบ Bitcoin นั้นอำนาจอยู่ที่ใครและใครมีอิทธิพลในแต่ละช่วง ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาได้มีกรณีพิพาทบ่อยครั้งเกี่ยวการพัฒนา Bitcoin รวมถึงผู้ใดที่ควรมีสิทธิมีเสียงในระบบบ้าง ซึ่งมีความคิดเห็นที่แตกต่างกันในแต่ละฝ่าย และที่ผ่านมาระบบ Bitcoin ใช้วิธีใดในการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงในเวลาต่างๆ
ในช่วงที่ Satoshi ยังคอยพัฒนาและชี้นำ Bitcoin นั้นการเปลี่ยนแปลงระบบ Bitcoin แทบจะเรียกว่าถูกรวมศูนย์ก็ได้เพราะ Bitcoin ยังเป็นเครือข่ายเล็กๆที่แทบไม่มีผู้สนใจนอกจากกลุ่มนักพัฒนาจำนวนหนึ่งจนกระทั่ง Exchange เล็กๆอย่าง dwdollar ในสมัยนั้นจะไม่มีการแบ่งแยกชัดเจนว่าใครทำหน้าที่อะไร เพราะแต่ละคนั้นได้ทำหน้าที่หลายอย่าง เช่นอาจจะมีคนหนึ่งที่ทำหน้าที่เป็น นักพัฒนา นักขุด ตลาดแลกเปลี่ยน และเป็น Node ในเวลาเดียวกัน
Bitcoin เคยมีความผิดพลาดที่ผลิต bitcoin ออกมา 184 พันล้านเหรียญ ซึ่งเมื่อ Bug นี้เกิดขึ้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ Satoshi ก็ได้ทำการแก้ความผิดพลาดนี้และโพสลงไปใน Bitcointalk อย่างง่ายๆ เพื่อให้ทุกคนในระบบอัพเดทซอฟต์แวร์พร้อมๆกันโดยไม่มีความแตกแยกใดๆ
หลังจาก Satoshi หายตัวไป
หลังจากที่ Satoshi หายตัวไปในปี 2010 และนั้นเป็นเวลาที่ระบบ Bitcoin เริ่มเติบโตขึ้นมาบ้างแล้วโดยมีกลุ่มนักขุดอย่าง Slush pool กลุ่มนักพัฒนาอย่าง Bitcoin Core ตลาดแลกเปลี่ยนอย่าง Mt.gox รวมไปถึงผู้คนที่เปิด Node ก็มีมากขึ้น เราจะเห็นว่าแต่ละคนก็มีบทบาทที่ไม่เหมือนกันและมีความสำคัญต่อระบบ Bitcoin ในแบบที่ไม่เหมือนกันเช่นกัน คำถามที่ตามมาคือใครจะเป็นผู้ชี้นำว่า Bitcoin ควรพัฒนาไปอย่างไร ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการคานอำนาจกันระหว่าง Miner กับ User จึงได้เกิดวิธีการในการลงความเห็นดังนี้
Miner Activate Soft Fork (MASF)
โดยปกติแล้วการเปลี่ยนแปลงอะไรที่เกี่ยวกับ Block มักจะเริ่มที่ Miner สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Miner ทั้งหมดจะทำการส่งสัญญาณด้วยการอัพเดทเวอร์ชั่นตัวเองเพื่อเป็นการส่งสัญญาณให้ Node อื่นๆรับรู้ร่วมกันว่า จะมีการเปลี่ยนแปลง Block ที่ขุด และเมื่อ Node ส่วนใหญ่ได้อัพเดทเวอร์ชั่นตาม Miner แล้ว Miner ค่อยขุด Block แบบใหม่ ซึ่งเราจะเห็นว่าวิธีนี้อำนาจเกิดจากตัว Miner เป็นผู้ตัดสินใจเพราะหากไม่มี Miner ก็จะไม่มีการยืนยันธุรกรรม
User Activate Soft Fork (UASF)
อย่งไรก็ตามบางครั้งก็มีกรณีที่เกิดการเรียกร้องจากผู้ใช้งาน ในปี 2017 ในตอนที่เกิดกรณี Segwit ขึ้นในปี 2017 Miner ส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ Segwit ทั้งๆที่มีอัพเดทมากว่า 3 ปีแล้วจนเกิดปัญหาคอขวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ เพราะจะทำให้ Miner ได้ค่าธรรมเนียมน้อยลง แต่ผู้ใช้จำนวนมากต้องการ เพราะมันแก้ปัญหาใน Bitcoin ได้หลายจุด เลยตั้งคำถามว่า Miner ควรจะเป็นผู้ชี้ทิศทางการพัฒนา Bitcoin แต่เพียงผู้เดียวหรือว่า User ทั่วไปที่ไม่ใช่ Miner แต่เป็น Node ควรมีปากมีเสียงด้วย ทำให้เกิด UASF หมายถึงการที่ผู้ใช้งานกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือทั้งหมด ได้ตัดสินใจจะทำการ Softfork ด้วยการอัพเดทซอฟต์แวร์เวอร์ชั่นที่ตัวเองต้องการ และทำการปฎิเสธ Block ใดก็ตามที่ Miner ที่ไม่ได้ขุดบล็อกตามที่ Node ต้องการ
ตกลงกันไม่ได้ก็แบ่งประเทศมันซะ !!
เราจะเห็นว่า MASF กับ UASF นั้นเป็นการยันกันระหว่างขั้วอำนาจของ Miner และผู้ใช้ ซึ่งหากตกลงกันไม่ได้ก็จะเกิดกรณีที่เลวร้ายที่สุดอย่าง User Activate Hard Fork (UAHF) หรือคือกรณีที่เกิดการแยกระบบเป็นสองระบบกลายเป็นเหรียญ 2 เหรียญเหมือนที่เกิดขึ้นระหว่าง Bitcoin และ Bitcoin Cash ซึ่งในตอนหน้าเราจะมาเล่าถึงกรณีพิพาทที่ยิ่งใหญ่และเกมการเมืองที่เกิดขึ้น